พาราสาวะถี
หวังใช้การเลือกตั้งล่วงหน้าเป็นต้นแบบของการไร้ข้อผิดพลาด หรือพบปัญหาในการใช้สิทธิ์เลือกตั้งของประชาชนน้อยที่สุด
หวังใช้การเลือกตั้งล่วงหน้าเป็นต้นแบบของการไร้ข้อผิดพลาด หรือพบปัญหาในการใช้สิทธิ์เลือกตั้งของประชาชนน้อยที่สุด แต่ผิดคาด 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประชาชนแห่ออกไปหย่อนบัตรล่วงหน้ามากถึง 91.83% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ทว่ากลับพบความบกพร่องในการทำหน้าที่ของกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับรหัสจังหวัดและรหัสเขตเลือกตั้ง ซึ่งไม่ได้ใช้รหัสเดียวกันกับรหัสไปรษณีย์ หรือ รหัสจังหวัดทั่วไป
เป็นธรรมดาที่ทำให้คนสงสัยว่าทำไม กกต.ต้องทำให้ยุ่งยาก อ้างเรื่องรหัสเขตเลือกตั้งที่มี 400 เขตจึงไม่ตรงกับรหัสไปรษณีย์ได้ แต่ทำไมรหัสจังหวัดต้องเปลี่ยน มากไปกว่านั้น ที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าบ้องตื้นได้หรือไม่ การนับคะแนนเลือกตั้งก็ต้องนับยังหน่วยเลือกตั้งที่ผู้ไปใช้สิทธิ์รายนั้นมีภูมิลำเนาอยู่ การใช้รหัสไปรษณีย์ที่เป็นที่ตั้งของหน่วยเลือกตั้งนั้น ๆ จึงน่าจะลดความยุ่งยาก สับสนได้มากกว่า เมื่อเกิดกรณีแบบนี้ สิ่งที่ได้ฟังจากปากอันเป็นคำแก้ตัวของ แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ก็ฟังกันไปแบบนั้น แต่คนเชื่อหรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง
มิเช่นนั้น คงไม่เกิดเทรนด์ในทวิตเตอร์ที่มีการติดแฮชแท็ก “กกต.มีไว้ทำไม” เป็นอันดับหนึ่ง นั่นหมายถึง ความเคลือบแคลงที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระแห่งนี้ ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามตัวโตต่อไป แม้ว่าสอง กกต.จะได้ออกมาขู่ก่อนหน้านี้แล้วว่า อย่าได้มาด้อยค่าและทำลายความน่าเชื่อถือของคณะกรรมการและสำนักงาน กกต.ก็ตาม เพราะความศรัทธามันไม่ได้เกิดจากถูกขู่ แยกเขี้ยวใส่ว่าห้ามใครมาวิพากษ์วิจารณ์แล้วจะเอาผิดตามกฎหมาย
ความเชื่อถือเชื่อมั่นมันมาจากผลงานและผลจากการกระทำว่ามีความน่าเชื่อถือ ยึดมั่นในหลักการ และสร้างบรรทัดฐานเป็นที่ยอมรับขนาดไหน การอ้างผลวินิจฉัยของบางองค์กรซึ่งความศรัทธาจากประชาชนมันก็ไม่ต่างกัน จึงไม่ต่างจากคำแก้ต่าง แก้ตัว ปัดให้พ้นตัวของพวกที่ต้องตอบแทนบุญคุณของขบวนการสืบทอดอำนาจ หรือคนที่มีอำนาจจากปลายกระบอกปืนนั่นเอง ส่วนเรื่องใหญ่ที่พ่นน้ำลายกันมาว่าจะเกิดขึ้นภายใน 2 วัน จนล่วงเลยมาเกือบสัปดาห์แล้วนั้น ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย
ทุกสายข่าวฟันธงตรงกันเป็นปม “ยุบพรรค” ส่วนจะแจ็กพอตที่ ก้าวไกลหรือเพื่อไทย หรือทั้งสองพรรคต้องรอลุ้นกัน โดยพิจารณาจากกระแสความนิยมแล้วต้องบอกว่ามาแรงกันทั้งสองพรรค ดังนั้น เพื่อขจัดเสี้ยนหนามของพวกอยู่ยาว ก็ต้องเขี่ยให้พ้นทางให้หมด แต่อยู่ระหว่างการประเมินว่าผลจากการตัดสินใจเช่นนั้นไปแล้ว แรงกระเพื่อมของกระแสมวลชนจะเป็นอย่างไร ไปดูคนที่มาฟังการปราศรัยของพรรคก้าวไกลในพื้นที่ต่าง ๆ แล้วต้องยอมรับกันว่าถ้าตัดสินแบบอนาคตใหม่ บอกได้คำเดียว หายนะรออยู่ข้างหน้า
มันจึงเกิดการไปปลุกระดมภายในรั้วพวกมีสี ด้วยเพลงปลุกใจต่าง ๆ ดีที่ว่าผู้บังคับบัญชาสูงสุดที่ต้องการจะนำพากรม กองกลับไปเป็นกองทัพอาชีพจึงได้สั่งให้หยุดการกระทำเช่นนั้นเสีย แต่ก็นำมาซึ่งความสงสัยว่าในเมื่อระดับผู้บังคับบัญชาไม่ได้สั่งการ แล้วมีการไปปลุกระดมกันเช่นนั้นได้อย่างไร ต้องมีไอ้โม่งที่รับงานและรับเงินตามแผนปฏิบัติการณ์ไอโอไปดำเนินการ อันสะท้อนให้เห็นถึงความเขลาเบาปัญญา หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผลประโยชน์มันล่อใจจนยากที่จะแยกถูกผิดได้
คงไม่ต่างกันกับพวกทำไอโอผ่านโซเชียลมีเดียและสื่อใต้อุ้งเท้าเผด็จการสืบทอดอำนาจ ที่พยายามจะบิดเบือน โจมตีพรรคการเมืองกระแสดีโดยเฉพาะเพื่อไทย ไม่เฉพาะการปล่อยข่าว แต่ยังจัดตั้งมวลชนไปป่วน ยั่วยุ ตามเวทีและจุดปราศรัยของพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งอีกด้วย เรียกว่าสารพัดวิชาสารเลวถูกงัดออกมาใช้อย่างเต็มที่ ช่วงโค้งสุดท้ายหรืออาจจะเป็นคืนหมาหอน พรรคฝ่ายประชาธิปไตยต่างเฝ้าจับตาว่าจะมีการสร้างข่าวอะไรโจมตีให้เสียหาย หรือแอบอ้างเรื่องที่ไม่สมควรกันหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ปมของการลุกฮือหากมีการยุบพรรคการเมืองเกิดขึ้นนั้น หากพิจารณาจากภาพของมวลชนที่ไปฟังการปราศรัยของพรรคก้าวไกล ทั้งที่ไม่มีหัวคะแนนเหมือนพรรคการเมืองอื่น เป็นหัวคะแนนธรรมชาติ เท่ากับว่าการเดินหน้าสร้างมวลชนโดยคณะก้าวหน้าประสบผลสำเร็จ มีฐานจัดตั้งที่เข้มแข็ง ไม่เพียงแต่จะเป็นฐานสนับสนุนสำคัญในแง่คะแนนเสียงให้กับพรรคก้าวไกลเท่านั้น หากแต่ยังจะเป็นฐานต่อสู้ทางการเมืองที่หนักแน่นและพร้อมเคลื่อนพลได้ตลอดเวลาด้วย
ในส่วนของเพื่อไทยที่อาศัยฐานเสียงของคนเสื้อแดงเป็นผู้สนับสนุนหลักนั้น ก็จะได้เพียงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง แต่ไร้พลังในการที่จะระดมคนออกมาเคลื่อนไหวกรณีที่พรรคได้รับผลกระทบอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องจากไม่มีแกนนำในการประสานและขับเคลื่อนมวลชนในระดับพื้นที่ ส่วนใหญ่แปรสภาพเป็นนักเลือกตั้งไปทั้งหมดแล้ว ระดับนำที่ยังอยู่กับพรรคก็ไม่ได้เดินงานมวลชนอย่างเข้มข้นเหมือนในอดีตอีกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงองค์กรขับเคลื่อนที่ชื่อว่า นปช.ที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว เหลือเพียงชื่อที่คนบางคนเอาไว้แอบอ้างหากินเท่านั้น
ประเด็นที่บอกไปวันก่อนต่อการจุดชนวนรัฐบาลเสียงข้างน้อยของเนติบริกรศรีธนญชัย กับการมีเสียง ส.ส.ในสภาอาจไม่ถึงครึ่งในช่วงเริ่มต้น แต่อยู่ไปก็จะกลายเป็นเสียงข้างมากในที่สุด มันย่อมมีมูลที่สอดประสานเข้ากับประเด็นของการยุบพรรค ซึ่งนั่นหมายความว่า การพิจารณายุบพรรคจะไม่เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง จะรอให้มีการหย่อนบัตรเรียบร้อยและได้เห็นหน้าค่าตา ส.ส.กันเรียบร้อยแล้ว จึงจะยุบพรรคกันตามมา คล้ายกับกรณียุบอนาคตใหม่ แต่คราวนี้อาจจะมีมากกว่าหนึ่งพรรค
นั่นจะเป็นจังหวะให้ ส.ส.ที่ได้รับการรับรองแล้ว สามารถย้ายพรรคได้ตามสะดวก และจะถือเป็นการพิจารณาเปลี่ยนสีเสื้อที่มีมูลค่ามหาศาล เพราะมันจะมีเรื่องผลประโยชน์ทั้งเม็ดเงินและตำแหน่งทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ใครที่รวบรวมเสียง จับมือกันเป็นกลุ่มก้อนเหนียวแน่นก็จะมีโอกาสได้รับการทาบทามเป็นอันดับแรก แต่กลเกมแบบนี้ถ้ายังไม่มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ก็จะเป็นจังหวะของพรรคสืบทอดอำนาจและภูมิใจไทยที่จะได้โอกาสเสริมสร้างขุมกำลังเป็นขั้วการเมืองใหม่อย่างสมบูรณ์ และนักเลือกตั้งทั้งหลายน่าจะสบายใจในการมุดเข้าคอกของสองค่ายนี้มากกว่า