หุ้นที่เจอคำสาปของเมดูซ่า
จู่ ๆ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง บมจ.บิวเดอสมาร์ท หรือ BSM ก็ออกหนังสือขออนุมัติผู้ถือหุ้นในการเพิ่มทุนอย่างไร้สาระ
จู่ ๆ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM ก็ออกหนังสือขออนุมัติผู้ถือหุ้นในการเพิ่มทุนอย่างไร้สาระ เพราะเป็นการซื้อขายหุ้นแบบ PP ให้กับนักลงทุนในแบบเฉพาะเจาะจงจำนวนแค่ 7 หุ้น ในราคาพาร์คือ 0.10 บาทต่อหุ้น ซึ่งมูลค่าของการซื้อขายครั้งนี้ไม่กระทบกับส่วนได้เสียของราคาหุ้นทั่วไปมากนัก
คำถามก็คือ แล้วดีลนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ปกติเอาเสียเลย
ที่บอกว่าไม่ปกติอยู่ที่ดีลในการขายให้แก่นางสาว เมทินี มณีสินธพ โดยถือเป็นดีลพิเศษที่ 1) เป็นการขายแบบ PP ในราคาพาร์ 0.10 บาทแทนที่จะเป็นราคาบนกระดานที่อยู่ย่ำฐานที่ระดับระหว่าง 0.30-0.31 บาท 2) เป็นการซื้อขายหุ้นที่ไม่ครบตามบอร์ดล็อตหรือ 100 หุ้นตามกฎของตลาดหุ้นนั่นคือแค่ 7 หุ้น ที่มีการจ่ายค่าหุ้นเพียง 0.70 บาท ซึ่งมีมูลค่าน้อยกว่าต้นทุนค่าเอกสารในการติดต่อเสียด้วยซ้ำเรียกว่าไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ทั้งผู้ซื้อและบริษัท
จริงอยู่การขายหุ้นครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะจังหวะไม่ดี เนื่องจาก BSM นั้นขาดทุนหนักต่อเนื่อง ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ระบาดจนกระทั่งงบการเงินสิ้นปี 2565 มีตัวเลขขาดทุนสะสมติดลบมากถึง 122.8 ล้านบาท ทำให้อำนาจต่อรองของบริษัทเสียหายรุนแรง จนกระทั่งยินยอมขายหุ้นในราคาต่ำกว่าบุ๊กแวลูเช่นนี้
กำไรสุทธิของ BSM ตลอดทั้งปีที่มีอยู่แค่ 0.21 ล้านบาท จึงช่วยเหลืออะไรไม่ได้มากนัก กลายเป็นหุ้นที่ต้องคำสาปของนางมารเมดูซ่าโดยปริยาย
ตามตำนานกรีกโบราณนั้น เพอร์ซุส วีรชนคนแรกของอาณาจักรกรีกโบราณที่เรียกว่าอารยธรรมไมซีนาย ทำการตัดหัวของนางมารเมดูซ่า ซึ่งมีฤทธิ์พิเศษ นั่นคือหากใครจ้องหน้าของนางแล้วจะกลายร่างเป็นหินในทันทีทันใด
อิทธิฤทธิ์นี้ยังมีบทบาทไปถึงยามที่นางเมดูซ่าที่ตายไปแล้วที่เพอร์ซุสสามารถใช้ประโยชน์จากการกำราบศัตรูในสงคราม ก่อนที่วีรชนของชาวกรีกโบราณ จะมอบกะโหลกของเมดูซ่าให้กับเทพีแห่งสงคราม อาเธน่าในที่สุดเพื่อนำไปกลบฝังทิ้งเสียไม่ให้มองหน้าใครได้อีก
ราคาหุ้นที่ต้องคำสาปของเมดูซ่าอย่างเช่น BSM จึงเป็นอาการของหุ้นที่ดูเสมือนไร้อนาคต และรอวันฟื้นคืนสู่อนาคตอย่างสิ้นหวัง ทั้งนี้เพราะผู้บริหารเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ผิดพลาด จากเดิมที่ทำธุรกิจหลักขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและอาคารแล้วเข้าโอบอุ้มธุรกิจลูกที่ทำอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ในเขตทางรถไฟฟ้าโดยเน้นโครงการขนาดเล็กที่มีธุรกรรมประเภท “ตีหัวเข้าบ้าน” และทำธุรกรรมใหม่ให้บริการคนต่างชาติที่สูงอายุผ่านโครงการ “สัมสาระ” ที่หวังสร้างรายได้จากการบริการที่มีรายได้ต่อเนื่อง แต่โครงการชั้นยอดเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อรายได้ในยามตลาดหดตัวเพราะวิกฤตโควิด-19
ยิ่งดูจากการประชุมสามัญล่าสุดที่มีคนเข้าประชุมแค่ 13-14 คนก็สามารถถือครองหุ้นในสัดส่วนเกิน 60% ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นความโรยราของธุรกิจที่กำลังงานเข้าอยู่ได้ชัดเจน
การประคองตัวผ่านความยากลำบากนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย สำหรับบริษัทขนาดเล็ก ยกเว้นจะใช้วิศวกรรมการเงินผ่านการเทกโอเวอร์ย้อนศร และหารายได้จากรายได้จากธุรกิจที่จะฟื้นตัวจากความต่ำสุดไปแล้วหลังจากธุรกิจฟื้นตัวทั้งสามสาขาที่เข้าไปทำอยู่หลังจากโควิด-19 ผ่านไปแล้วโดยไม่มีต้นทุนการเงินที่แพงเกินไป
พ้นจาก 2 ทางนี้แล้วยากที่จะทำให้ BSM กลับมาเป็นหุ้นที่มีรายได้เกินกว่าปีละ 1 พันล้านบาทไม่ใช่ต่ำเตี้ยที่ระดับ 600-700 ล้านบาท อย่างที่เป็นอยู่มานาน เพราะเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าจะต้องยึดตามหลักการทุนนิยมเต็มขั้นกล่าวคือเข้าใจว่านี้คือเกมแห่งคนมั่งคั่งด้วยกันหรือ game of the riches
พูดมาอย่างนี้แล้วไม่ใช่เพราะจงเกลียดจงชังคุณสัญชัย เนื่องสิทธิ์ ที่มีความตั้งใจจริงกับการทำงานมากเป็นพิเศษอย่างไร้ข้อตำหนิอยู่แล้ว เพียงแต่ชะตากรรมของบริษัทขนาดเล็กที่เติบโตไม่ไหวเพราะฝืนชะตากรรมไม่ไหว ก็จำเป็นต้องยอมรับมันเอาไว้ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีอนาคตอีกต่อไป
ต้องรีบตัดสินใจก่อนที่หุ้นจะตายซากเพราะต้องคำสาปของเมดูซ่าแล้วยากจะไปได้รอด ในยามที่่มีบริษัทมหาชนจดทะเบียนเต็มตลาดที่ตกอยู่ในสถานการณ์ทำนองเดียวกัน