พาราสาวะถี

ถือว่าพลิกล็อคเล็ก ๆ กับการที่พรรคก้าวไกลปาดหน้าเพื่อไทยคว้าชัยในการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จบลงไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา


ถือว่าพลิกล็อคเล็ก ๆ กับการที่พรรคก้าวไกลปาดหน้าเพื่อไทยคว้าชัยในการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จบลงไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่หากพิจารณาจากกระแสและปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ แล้ว พรรคนายใหญ่เริ่มรับรู้แล้วตั้งแต่หลังสงกรานต์ เนื่องจากผลการสำรวจความเห็นและการลงพื้นที่ของคณะทำงานนั้น พบว่าหลายพื้นที่ประชาชนขอตัดสินใจเลือกแนวทางใหม่ ตรงนี้ต้องยอมรับสภาพอีกประการว่าพวกที่กลายเป็นอดีต ส.ส.ของเพื่อไทยเวลานี้หลายพื้นที่ประชาชนไม่พอใจมานานแล้ว แต่ยังไม่มีตัวเลือกใหม่

เห็นได้จากการเสียเก้าอี้ถึง 7 ที่นั่งในจังหวัดเชียงใหม่ทั้งที่เป็นพื้นที่ซึ่งมองว่าเป็นเมืองหลวงของพรรค หลายรายเป็น ส.ส.ที่ลงสมัครโดยประชาชนไม่อยากเลือก พอมีคนของก้าวไกลมาลงประกบจึงเทคะแนนให้เต็มที่ ส่วนบางพื้นที่ตัว ส.ส.ไม่ได้มีปัญหาเช่น เขต 3 ที่มี ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ เป็นตัวชูโรงถือว่าเกาะติดพื้นที่และมีแนวทางการเมืองที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในระดับหนึ่ง แต่ภาพของคนรุ่นใหม่ถูกใจและต้องการได้ ส.ส.เลือดใหม่จากก้าวไกลมากกว่า

ขณะเดียวกันตัวเลขคะแนนเสียงในระบบบัญชีรายชื่อที่ก้าวไกลได้มาถล่มทลายนั้น เป็นเพราะยุทธศาสตร์ในการเลือกของฝ่ายประชาธิปไตยที่ว่า คนเลือกเพื่อไทย พรรคเลือกก้าวไกล จึงทำให้เสียง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคสีส้มได้มาเป็นกอบเป็นกำ อย่างไรก็ตาม ด้วยความต่างของเก้าอี้ ส.ส.ที่ 10 ที่นั่ง การจับมือกันตั้งรัฐบาลโดยชู พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 นั้น พรรคนายใหญ่ก็น่าจะมีข้อต่อรองที่สมน้ำสมเนื้ออยู่ไม่น้อย

ที่น่าจับตามองคือเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่จะเป็นประธานรัฐสภาด้วยนั้น ถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำหน้าที่ควบคุมการประชุม โดยเฉพาะในวันที่จะมีการโหวตเลือกนายกฯ ตรงนี้เมื่อพิจารณาจากความช่ำชอง จัดเจนเวทีในสภาแล้ว ก้าวไกลอาจต้องยกตำแหน่งให้กับคนของเพื่อไทย ซึ่งได้มีการวางตัว “ตี๋กร่าง” สุชาติ ตันเจริญ ไว้แล้ว เว้นเสียแต่เจ้าตัวอยากจะหวนกลับไปนั่งเก้าอี้เสนาบดีนั่นก็อีกเรื่อง แต่ดูแนวโน้มแล้วไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น

พิจารณาจากถ้อยแถลงประกาศชัยชนะของพิธาแล้ว ต้องยอมรับว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ กร้าวพร้อมที่จะเป็นนายกฯ จากฉันทามติของประชาชนที่มอบให้กับพรรค สิ่งที่หนักแน่นจนเกิดเป็นกระแสเทกลับทำให้พรรคสีส้มชนะการเลือกตั้งได้คือ ท่าทีไม่สมสู่กับเผด็จการสืบทอดอำนาจและพวกที่เคยสนับสนุนก่อนหน้า การบอกว่าไม่จำเป็นต้องเชิญภูมิใจไทยมาร่วมรัฐบาล ถือเป็นความชัดเจนที่ได้ใจกองเชียร์เป็นที่สุด

การประกาศตัวรัฐบาล 6 พรรค ที่มีพรรคร่วมฝ่ายค้านคือ ก้าวไกล เพื่อไทย ประชาชาติ เสรีรวมไทย พ่วงด้วย ไทยสร้างไทย และพรรคเป็นธรรม ด้วยเสียง ส.ส. 309 เสียงนั้น ถือเป็นความท้าทาย เพราะการจะก้าวขึ้นเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจได้นั้น จะต้องได้รับเสียงโหวตไม่น้อยกว่า 376 เสียง ถ้าดึงภูมิใจไทยเข้าร่วมก็ถือเป็นการปิดสวิตช์ ส.ว.ไปโดยปริยาย แต่การไม่เลือกก็เท่ากับเป็นการท้าวัดใจพวกลากตั้ง กล้าที่จะฝืนฉันทามติของประชาชนหรือไม่

ได้ฟังเสียงสะท้อนของ ส.ว.ที่เริ่มออกมาให้ความเห็นเวลานี้ ก็ล้วนแต่พวกหน้าเดิมที่ยังไงก็ไม่สังฆกรรมกับก้าวไกลหรือพรรคฝ่ายค้านอยู่แล้ว แต่เป็นมติของเสียงส่วนใหญ่หรือจะโหวตไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม ต้องไม่ลืมว่าหากไม่ยอมรับเสียงของประชาชน ด้วยการไปลงมติให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่ยาว เท่ากับการผลักไสให้ไปตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่เวลานี้ฟากฝั่งว่าที่พรรคฝ่ายค้านมีเสียงรวมกันที่ 191 เสียง ไม่ว่าจะในทางทฤษฎีหรือปฏิบัติไร้เสถียรภาพ และอายุสั้นแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่อาจมองข้ามหรือไว้วางใจได้ก็คือ การชี้ขาดผลการเลือกตั้งของ ส.ส.ในแต่ละเขตโดย กกต. เพราะมีการลั่นวาจาไว้ก่อนเลือกตั้งแล้วว่าอาจจะมีการแจกใบเหลือง ใบแดงกันว่อน พิจารณาจากเรื่องร้องเรียนที่มีเข้ามา หากเป็นเช่นนั้นก็มีโอกาสที่ตัวเลขจะเปลี่ยน แต่เมื่อมองไปยังเสียงของประชาชนที่เทให้ทั้งเพื่อไทยและก้าวไกล รวมไปถึงพันธมิตรฝ่ายค้าน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีการตัดสินแบบค้างคาใจเหมือนที่ผ่านมา

อีกประการที่บรรดากองเชียร์ฝ่ายต้องการเปลี่ยนแปลงไม่อาจวางใจได้คือ ปมการยุบพรรค เช่นเดียวกันหนนี้คงจะไม่หมูเหมือนคราวยุบอนาคตใหม่ ย้ำอีกครั้งกระบวนการจัดตั้งมวลชนที่มีคณะก้าวหน้าลงพื้นที่สร้างความรู้ ปลุกประชาชนให้ตื่นจากความเข้าใจการเมืองที่ผิดพลาดคือแนวร่วมชั้นดีที่พร้อมจะแสดงพลังได้ทุกเมื่อ ถามว่ากล้าที่จะเล่นกับไฟ และใช้หายนะของบ้านเมืองมาเป็นเครื่องบูชายัญการตอบแทนบุญคุณที่ไม่สิ้นสุดอย่างนั้นหรือ

เป็นเรื่องชวนให้คิดอยู่ไม่น้อย หากเป็นการเมืองตามกลไกปกติ การจัดตั้งรัฐบาลคงไม่ต้องมานั่งคิดเล็กคิดน้อยกันขนาดนี้ แต่ความไม่ปกติของพวกคิดอยู่ยาวสืบทอดอำนาจไม่มีที่สิ้นสุด มันจึงทำให้คนไม่มั่นใจในระบบที่ควรจะเป็น ไม่เชื่อมั่นในกลไกขององค์กรที่อ้างว่าอิสระแต่หาได้แสดงความเป็นมืออาชีพในการทำงานไม่ ด้วยเหตุนี้ส่วนหนึ่งและพวกกองเชียร์ไม่ลืมหูลืมตา จึงยังแอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่าจะมีการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้สำเร็จ

แต่สูตรที่มีการปล่อยข่าวออกมา จะชู อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ แล้วใช้เสียง ส.ว.ลากตั้งโหวตหนุน ถามว่าเสี่ยหนูกระสันที่จะได้เก้าอี้ในรูปแบบเช่นนี้หรือ หากอยากเล่นกับไฟก็ต้องบอกว่าใจหินเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเลือกที่จะเดินในแนวทางเช่นนี้ สู้หาทางเจรจาต่อรองขอเข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับก้าวไกลและเพื่อไทยไม่ดีกว่าหรือ ไม่เพียงเท่านั้นต้องไปถาม 2 ลุงทั้งพี่ใหญ่กับน้องเล็กแก๊ง 3 ป.ด้วยว่า แพ้หมดรูปขนาดนี้ ยังจะบากหน้าเล่นการเมืองต่อไปอีกหรือ ภาษามวยดูจากแววตาน่าจะอยากแขวนนวม วางมือกันเต็มแก่แล้ว จบแบบนี้อาจมีศักดิ์ศรีและสง่างามมากกว่า

Back to top button