พรรคส้มแผลงฤทธิ์
วันนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตานักลงทุนทุกคนแล้วว่า การมาของพรรคส้มกำลังสร้างความปั่นป่วนอย่างหนักให้กับหุ้นการเมือง
วันนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตานักลงทุนทุกคนแล้วว่า การมาของพรรคส้มกำลังสร้างความปั่นป่วนอย่างหนักให้กับหุ้นการเมือง เพราะคุณน้องจะเข้ามาทลายผลประโยชน์แอบแฝงที่มากับนักการเมืองรุ่นก่อน ๆ แบบล้างบาง ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่จะเร่งจัดการภายใน 100 วัน เลยกลายเป็นของแสลงสำหรับหุ้นการเมืองแบบเต็ม ๆ หลังหลายคนกำลังจับตาดูว่า พ่อส้มจะทำตามที่ได้ลั่นวาจาแค่ไหนพะย่ะค่ะ
เนื่องจากแนวทางบู๊ระห่ำแบบไม่เกรงใจใคร มันทำให้เจ้าสัวเกิดอาการก้นร้อนไปตามกัน และยังทำให้ “ต่างชาติ” กับพวก “กองทุน” เกิดอาการประหม่าอย่างหนัก จึงต้องหาทางออกด้วยการขายหุ้นลดความเสี่ยงเป็นระยะ จนดัชนีแกว่งตัวตุปัดตุเป๋ตลอดทั้งวัน ก่อนจะลงเอยด้วยการยืนปิดที่ระดับ 1,539.84 จุด ลบไป 1.54 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.31 หมื่นล้านบาทแบบนี้ มันขัดกับทฤษฎีหุ้นขึ้นหลังเลือกตั้งนะนายจ๋า!
งานนี้จริงเท็จอย่างไร? “โมนิก้า” คงไม่ต้องสาธยายให้ฟังมากมาย เพราะอยากให้ภาพตลาดหุ้นที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 วันเป็นตัวเล่าเรื่อง เดี๋ยวติ่งพ่อส้มจะหาว่าเดี๊ยนมีอคติเสียฉิบ! แต่ถ้าย้อนดูบทความเก่า ๆ จะเห็นว่า เดี๊ยนเคยพูดถึงแนวทางค่าไฟฟ้าถูกของพรรคส้ม..เป็นแนวทางที่ดีมาก ๆ แต่จะทำได้จริงเหมือนที่พูด และรื้อระบบได้จริงไหม ยังเป็นเรื่องที่ต้องรอการพิสูจน์ต่อไปนะตัวเอง
ที่สำคัญคือ ผู้รู้หลายรายพูดเหมือนกันว่า ธุรกิจหลายอย่างมีข้อกฎหมายค้ำคอไว้อยู่ จึงไม่ใช่เรื่องที่สักแต่จะพูดเพื่อสร้างกระแส เพราะเมื่อถึงเวลาต้องเคลียร์ปมปัญหาต่าง ๆ อาจหงายหลังจนตกกระไดไม่เป็นท่าก็ได้ “โมนิก้า” ถึงเดาอาการของตลาดหุ้นไทยที่เซื่องซึมในเวลานี้ น่าจะเกิดจากอาการแพนิกจากนโยบายพรรคส้มเป็นหลัก แต่หลังจากผ่านพ้นความคลุมเครือเป็นที่เรียบร้อย..ทุกอย่างน่าจะกลับมาดีกระมัง!..อิอิอิ
เหมือนกับในรายของหุ้น ADVANC ก็มีประเด็นให้ขบคิดเยอะพอสมควรในมุมของการถูกตอน เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดทางธุรกิจแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ท้าทายคนที่มีอำนาจพอสมควร เพราะทำให้การขยายธุรกิจต่อจากนี้เป็นเรื่องยาก จึงต้องดูกันต่อไปว่า พรรคส้มจะกล้าขวางคลองหรือเปล่า? ขณะเดียวกันก็ต้องดูกันต่อไปว่า การที่ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 213 บาท บวกไป 2 บาท หรือขึ้นไป 0.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.50 พันล้านบาทจะยืนระยะได้ขนาดไหน?
ส่วนหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการอดร่วมรัฐบาลอย่างหุ้น STEC ก็สร้างผลสะเทือนเลือนลั่นต่อราคาอย่างหนักเป็นวันที่ 2 หลังราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 9.95 บาท ลบไป 0.55 บาท หรือลงไป 5.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 338 ล้านบาท พร้อมกับทำโลว์ในรอบ 2 ปี 6 เดือน และกำไรไตรมาส 1 ก็ลดฮวบแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเกมหุ้นขาลงอีกนานหลายเดือน เพราะการประมูลงานภาครัฐต่อจากนี้ คงไม่นอนมาเหมือนรอบก่อน แต่อาจนอนมาพร้อมโลง..อิอิอิ
อีกรายที่ได้รับผลกระทบคล้ายกัน “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น CK ซึ่งเป็นเจ้าพ่อรับเหมาที่กินเรียบก่อนจะมีการเลือกตั้ง แต่ทันทีที่เห็นการฟอร์มทีมรัฐบาลใหม่อย่างเป็นทางการ บรรดานักเล่นก็กระหน่ำขายหุ้นออกมาเรื่อย ๆ จนวานนี้ลงมายืนปิดที่ระดับ 19.60 บาท ลบไป 1.90 บาท หรือลงไป 8.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 466 ล้านบาท ซึ่งรวมเบ็ดเสร็จร่วงไป 13% แบบนี้ การเมืองมีผลขนาดไหน?..ลองไปคิดกันดูนะจ๊ะ
ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้น AMATA กันสักหน่อย เพราะทุกครั้งที่มีการประกาศขึ้นค่าแรงทีไร มักจะตามมาด้วยการย้ายฐานผลิตเป็นประจำ ผนวกกับเป็นจังหวะที่กำไรลดฮวบพอดี ผู้คนเลยจินตนาการกันไปไกลสุดกู่ว่า ผลงานในอนาคตอาจออกมาไม่ดี วานนี้จึงถูกขายจนหุ้นลงมานอนกองอยู่ที่ระดับ 21.80 บาท ลบไป 0.70 บาท หรือลงไป 3.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 239 ล้านบาทไงล่ะคะ
สุดท้ายนี้อย่ามโนอะไรไปไกลกว่าที่เป็นอยู่เลย เพราะวันนี้ต้องให้เกียรติการจัดตั้งรัฐบาลของ “พรรคส้ม” เขาไปก่อนว่า จัดตั้งได้ไหม? เพราะสมการที่มีการพูดกันแจ๋ว ๆ ก็มีการเอ่ยถึงตาอยู่ที่อยากกู้หน้าตัวเองอย่าง “พรรคแดง” ซึ่งพร้อมเสนอหน้าเป็นคนจัดตั้งรัฐบาล หากพรรคส้มตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จแบบนี้..มันอาจเป็นเกมที่เลือดเย็นเกินไปหน่อยก็จริง แต่ทุกคนก็ต้องดูกันต่อไปว่า จริงไหม?..อิอิอิ