เล่นสั้นแบงก์ ค้าปลีก
4 วันทำการดัชนีหุ้นไทยร่วงลงแล้ว 46.82 จุด แต่หากนับจากวันทราบผลการเลือกตั้งใหญ่ หรือช่วงวันที่ 15-17 พ.ค. 66 ดัชนีปรับลงมา 38.61 จุด
4 วันทำการดัชนีหุ้นไทยร่วงลงแล้ว 46.82 จุด
แต่หากนับจากวันทราบผลการเลือกตั้งใหญ่ หรือช่วงวันที่ 15-17 พ.ค. 66
ดัชนีปรับลงมา 38.61 จุด
หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้
หรือช่วงก่อนการเลือกตั้งประมาณ 1-2 เดือน
บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ในช่วงก่อนเลือกตั้งประมาณ 1 เดือน
ดัชนีหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นได้
และหากจะดูจากสถิติย้อนหลัง ส่วนใหญ่ดัชนีจะขึ้นมากระหว่าง 5-7%
ส่วนวันหลังเลือกตั้ง ดัชนียังให้ผลตอบแทนเป็นบวกต่อไปอีก 1-3 เดือน
ทว่าการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ผลลัพธ์ของหุ้นไทยกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เพราะผ่านมา 3 วันทำการ ดัชนีปรับลงมาติดลบทุกวัน
หรืออยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นักวิเคราะห์หลายคนยังคงมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้นไทยว่า น่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้นในช่วงที่ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล
และหากเกิดความชัดเจน
ตลาดหุ้นน่าจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้
ทว่า นักวิเคราะห์อีกกลุ่ม กลับมองต่างออกไป
พวกเขามองว่า มีหลายปัจจัยที่ยังไม่มีความแน่นอน แม้จะมีการจับมือและพูดคุยกันแล้วของพรรคที่จะร่วมจัดตั้งรัฐบาล
เพราะยังมีความไม่แน่นอนอีกหลายด่าน เช่น การรับรองของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
รวมถึงเสียงโหวตรับรองนายกรัฐมนตรีที่จะต้องได้ถึง 376 เสียง
แต่ทั้งหมดนี้ จะเกิดความชัดเจนได้ในกรอบเวลา 60 วัน
ทำให้ตลาดหุ้นไทยอาจจะผันผวนไปตามเซนติเมนต์ของสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป จนกว่าจะเกิดการตั้งรัฐบาลได้จริง ๆ
มีโบรกฯ ที่ตั้งข้อสมมติฐานเอาไว้
มีการประเมินแบบสมมุติว่า หากพรรคก้าวไกล ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
ทางพรรคเพื่อไทย ก็น่าจะจัดตั้งได้
ทำให้ประเมินกันว่า ไม่น่าจะเกิดสุญญากาศทางการเมือง จนทำให้เกิดความล่าช้าของนโยบายเศรษฐกิจต่าง ๆ
หากจะถามต่อว่า หุ้นไทยที่ปรับลงตอนนี้ ระหว่าง “เซนติเมนต์” ทางการเมือง กับ “พื้นฐาน”
ปัจจัยไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน
คำตอบคือ เซนติเมนต์ทางการเมืองมีผลกระทบมากกว่า รองลงมา คือ พื้นฐานของหุ้นบางตัวที่มีผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ต่ำกว่าคาด หรืออาจจะมีปัจจัยลบรออยู่ข้างหน้า
เช่น ผลกระทบจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคที่เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล
คำแนะนำเทรดหุ้นช่วงตลาดยังมีความผันผวน
ส่วนใหญ่เป็นเทรดดิ้ง หรือ เก็งกำไรระยะสั้น
ลงซื้อ ขึ้นรีบขาย ส่วนกลุ่มปลอดภัย (ช่วงสั้น) ส่วนใหญ่ยังแนะนำ “กลุ่มค้าปลีก” เช่น CPALL
รวมถึงหุ้น “กลุ่มแบงก์”
ที่จะได้รับประโยชน์จาก กนง.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25%