หลอนหนัก..ทิ้งหนัก

สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ในสภาวะขมุกขมัวแบบนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะปัญหาการเมืองเที่ยวนี้เดินเข้าใกล้ทางตันมากขึ้นเรื่อย ๆ


สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ในสภาวะขมุกขมัวแบบนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะปัญหาการเมืองเที่ยวนี้เดินเข้าใกล้ทางตันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นชนวนเหตุที่ทำให้นักลงทุนสถาบันทิ้งหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงออกมาอย่างหนัก ซึ่งเป็นภาพที่ย้ำหัวหมุดให้เห็นว่า  ตลาดหุ้นไม่ชอบนโยบายเศรษฐกิจสุดโต่งในหลายมิติ เพราะมันกระเทือนกับขุมทรัพย์ของเจ้าสัวประเทศไทยไงล่ะคะ

ประเด็นตรงนี้ทำให้คนเล่นหุ้นเกิดอาการหลอนหนักมากขึ้นทุกที เพราะไม่มีใครล่วงรู้ดีลลับทางการเมืองมีจริงไหม? พร้อมกันนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่า เดดล็อกที่เกิดขึ้นกับการเมืองเที่ยวนี้จะเเก้ไขกันอย่างไร? ส่งผลให้ทุกอย่างมันดูยุ่งเหยิงกันไปหมด จึงต้องลงเอยด้วยการ “ทิ้งหุ้นไว้ก่อน กูรูบอกไว้” วานนี้ถึงเห็นดัชนีลงมายืนปิดที่ระดับ 1,522.74 จุด ลบไป 17.10 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.74 หมื่นล้านบาทแบบไร้ทางสู้เจ้าค่ะ

งานนี้จึงเป็นโจทย์ยากสำหรับคนเล่นหุ้นอีกครั้ง เพราะการลงมาของดัชนีที่บริเวณ 1,520 จุด มันเป็นไฟต์บังคับที่ดัชนีจะต้องเด้งกลับ และในทางทฤษฎีที่เลวร้ายสุดของเที่ยวนี้ ดัชนีก็ไม่ควรหลุดแนวรับ 1,500 จุด เพราะมันจะทำให้ภาพของการไซด์เวย์ดาวน์ชัดเจนขึ้นไปอีก ผสานกับผลงานของบริษัทจดทะเบียนก็มีแนวโน้มออกมาไม่ดี จึงกลายเป็นประเด็นสั่นประสาทตลาดหุ้นหนักขึ้นพะย่ะค่ะ

ขนาดรายที่เก๋าเกม และช่ำชองอย่างหุ้น CPALL ยังถูกรินขายออกมาไม่หยุดหย่อน จนราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 63 บาท ลบไป 1.75 บาท หรือลงไป 2.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.24 พันล้านบาท ท่ามกลางกระแสข่าวโชห่วยของพรรคสีส้มจะมาตีตลาดร้านสะดวกซื้อเซเว่น ก็เป็นประเด็นที่น่าคิดไม่ใช่น้อย แม้วันนี้ยังไม่มีอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรม แต่ในอนาคตอาจเป็นจริงก็ได้..ใครจะไปรู้ล่ะพ่อ!

ส่วนรายที่ไม่รู้ “อิโหน่ อิเหน่” กลับต้องมาซวยไปด้วย “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นสนามบินอย่าง AOT เป็นรายถัดมา เพราะรายนี้ไม่ได้ตกอยู่ในความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง แต่เป็นเพราะบรรยากาศตลาดหุ้นไม่เอื้อให้เล่นต่อ บรรดาผู้เล่นแกนหลักถึงขายทิ้งแบบไม่แยแส ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงมาที่ 71 บาท ก่อนจะตีกลับขึ้นไปปิดเสมอตัวที่ 72 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.47 พันล้านบาทนะนายจ๋า

เช่นเดียวกับในรายของหุ้นลีสซิ่ง SAWAD ก็ถูกถล่มขายอย่างหนัก 3 วันติด จนราคาหุ้นลงมากองอยู่ที่ระดับ 52.50 บาท ลบไป 3.75 บาท หรือลงไป 6.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.35 พันล้านบาท ก็อยู่ในข่ายหุ้นที่อยู่ “ผิดที่ ผิดเวลา” และถ้าย้อนดูผลงานที่ออกมาจะเห็นว่า อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้! แต่เผอิญสถานการณ์ของตลาดหุ้นไม่เป็นใจให้เล่นต่อยาว ๆ จึงต้องลงเอยด้วยการขายปิดความเสี่ยงก็เท่านั้นเจ้าค่ะ

ตรงกันข้ามกับในรายของหุ้นขายหมูขายไก่ CPF อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่เข้าตากรรมการเลยสักอย่าง ทั้งในเรื่องของผลงานในอดีตที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งผลงานในอนาคต ครอบคลุมถึงสตอรี่ใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาเรียกความเชื่อมั่น ล้วนเป็นเรื่องที่ส่อไปในทาง “ลม ๆ แล้ง ๆ” และทำให้ราคาหุ้นซึมลงมาเป็นเวลาครึ่งปี จนวานนี้ลงมายืนปิดที่ 19.40 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 2% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 982 ล้านบาทแบบนี้…บอกได้คำเดียวว่า กำไรมาเมื่อไหร่ ค่อยเล่นตอนนั้นค่ะ

เม้าท์ถึงเรื่องกำไรต้องมาทั้งที “โมนิก้า” ขอเหลือบตามองหุ้น KEX กันสักหน่อย เพราะการลงมาปิดที่ระดับ 10.20 บาท ลบไป 0.80 บาท หรือลงไป 7.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 60 ล้านบาท ท่ามกลางแรงขายที่เบาบาง แต่ราคาหุ้นกลับทำ all time low ให้เห็นเต็มสองลูกตาแบบนี้ นักเล่นเขาอนุมานได้ทันทีว่า กำไรไตรมาสนี้..คงไม่ดีอีกตามเคย (ขาดทุนซ้ำซาก) จึงเปล่าประโยชน์ที่จะเข้าไปรับหุ้นนะจ๊ะ

ตบท้ายกันที่หุ้นเดินเรืออย่าง PSL กันดีกว่า เพราะแรงขายที่ออกมาไม่หยุดหย่อนในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา น่าจะเป็นสัญญาณที่ย้ำเตือนอีกครั้งว่า หมดยุคทองของหุ้นเดินเรืออย่างแน่นอน ราคาหุ้นถึงทรุดฮวบลงมาปิดที่ระดับ 10.60 บาท ลบไป 1.20 บาท หรือลงไป 10.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 191 ล้านบาท พร้อมกับทำโลว์ในรอบ 2 ปี 3 เดือนแบบนี้ เดี๊ยนมองเป็นเรื่องไม่คุ้มที่จะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงในสถานการณ์ที่ทุกอย่างยังไม่ฟื้นตัวเจ้าค่ะ

Back to top button