KOOL คนร้อน..กำไรแล้ง..!

อากาศที่ร้อนต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แล้วมาพีกช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค. ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอะไรก็ได้ที่ช่วยคลายร้อน ไม่ว่าจะเป็นอาหารและเครื่องดื่ม แอร์ พัดลม และเครื่องทำความเย็น กำไรจะร้อนแรงเหมือนแสงแดดหน้าร้อน..!!

แต่ไหงหุ้นบริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ตัวพ่อแห่งอาณาจักรทำความเย็น ไล่มาตั้งแต่พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้ตราสินค้า MASTERKOOL และ Cooltop รวมถึงออกแบบและติดตั้งระบบระบายความร้อนและระบบโอโซน เปิดงบไตรมาส 1/2566 น่าผิดหวัง กำไรทรุดฮวบเหลือติดปลายนวมแค่ 2.04 ล้านบาท ลดลง 87.03% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 ที่มีกำไรสุทธิ 15.73 ล้านบาท

ทั้ง ๆ ที่ไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ยังติดกับดักโควิด แต่ KOOL อุตส่าห์ปั๊มกำไรได้ตั้ง 15.73 ล้านบาท มาไตรมาส 1 ปีนี้ โควิดก็เจือจางไปมากแล้ว…กำลังซื้อของผู้บริโภคก็ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว แต่ผลงานของ KOOL กลับแย่ลงซะงั้น…

ดีนะที่ไม่ถึงขั้นพลิกไปขาดทุน..!!

แต่ก็ทำให้นักลงทุนหัวร้อนไปตาม ๆ กัน…

ว่าแต่เกิดอิหยังกับหุ้นทำความเย็นตัวนี้นะ..คนร้อน…แต่ทำไมกำไรถึงได้แห้งแล้งขนาดนี้..? ชักอยากรู้แล้วสิ

ครั้นไปส่องไส้ใน ปรากฏว่าในไตรมาสนี้รายได้จากการขายหายไปกว่าครึ่ง เหลือแค่ 82.38 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน 170.37 ล้านบาท สาเหตุมาจากการยกเลิกการขายผ่านช่องทางห้างค้าปลีก และรายได้จากช่องทางต่างประเทศลดลง จากภาวะเศรษฐกิจในยุโรป การขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นลูกค้ารายหลักนั่นเอง

ที่จริงในไตรมาสนี้ ขาของต้นทุนทำได้ดีนะ ปรับลดลง…โดยมีค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 119.95 ล้านบาท ลดลง 47.85% แบ่งเป็น ต้นทุนขายลดลง 53.94% อยู่ที่ 65.77 ล้านบาท ต้นทุนบริการลดลง 73.04% อยู่ที่ 16.68 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการขายลดลง 15.69% อยู่ที่ 13.70 ล้านบาท

ส่วนต้นทุนทางการเงินลดลงจาก 1.67 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2565 เหลือ 1.08 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2566

แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่เพียงพอที่จะไปชดเชยกับรายได้ที่หายไปเกินกว่าครึ่งได้

เลยทำให้ตัวเลขบรรทัดสุดท้ายไม่ถูกใจนักลงทุนอย่างแรงงงส์..ขอบอก..!!

สะท้อนได้จากหลังประกาศงบ หุ้น KOOL ก็ถูกกระหน่ำซัมเมอร์เซลขายอย่างหนักหน่วง จนราคาไหลแบบไม่มีหูรูด ปรับลดไปกว่า 10% ก่อนจะฟื้นตัวในวันถัดมา

ร้อนถึงบอร์ด KOOL ต้องงัดไม้ตายประกาศซื้อหุ้นคืน..!! ด้วยการทุ่มงบ 36 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืน 72.27 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 0.25% เริ่มวันที่ 19 พ.ค.-17 พ.ย. 2566 เพื่อหวังกอบกู้ราคาหุ้นให้มีเสถียรภาพและดูดีขึ้น ส่วนจะดีขึ้นอ๊ะป่าว..? อันนี้ไม่รู้ ๆ ๆ

เอาน่า…ช่วงหน้าร้อนอาจคาบเกี่ยวระหว่างไตรมาส 1 กับไตรมาส 2 ก็ต้องวัดใจในไตรมาส 2/2566 อีกทีว่ากำไรจะร้อนแรงหรือเปล่า..?

หรือถ้ากำไรยังแห้งแล้งต่อไป…คงต้องบอกว่า โกยเถอะโยม..!!

…อิ อิ อิ…