หนี้ครัวเรือน โจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้
หนี้ครัวเรือนนับเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกฝ่ายพยายามยื่นมือเข้าไปแก้ไขมาอย่างต่อเนื่อง แต่จนถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่ายังแก้ไม่ได้ ยังแก้ไม่สำเร็จ
เส้นทางนักลงทุน
วันนี้อยากจะหยิบยกอีกหนึ่งปัญหาของประเทศไทยซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลใหม่ (ไม่ว่าแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาจากฝ่ายไหน) จะต้องพิจารณาและดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง นั่นคือปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย
หนี้ครัวเรือนนับเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกฝ่ายพยายามยื่นมือเข้าไปแก้ไขมาอย่างต่อเนื่อง แต่จนถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่ายังแก้ไม่ได้ ยังแก้ไม่สำเร็จ และตัวเลขหนี้ครัวเรือนของไทยก็ยังคงอยู่ในระดับสูงจนน่ากังวล ไม่ว่าจะเทียบกับในอดีตหรือเทียบกับต่างประเทศ
หนี้ครัวเรือนของไทยในไตรมาส 4 ปี 2565 แม้สัดส่วนต่อจีดีพีจะลดลงจาก 87% ในไตรมาส 3 แต่ที่เป็นเม็ดเงินยังคงเพิ่มขึ้น 1.8 แสนล้านบาท โดยมียอดคงค้างที่ 15.09 ล้านล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 14.91 ล้านล้านบาท
มีข้อมูลของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC ที่ได้ทำการสำรวจความเห็นผู้บริโภคไทยในแบบสำรวจ “SCB EIC Consumer survey 2566” เกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤตโควิดต่อรายได้ รายจ่าย รวมถึงภาระหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ จากผู้ตอบแบบสำรวจเสร็จสมบูรณ์ทั้งสิ้น 4,733 คน เป็นการจัดทำในช่วงวันที่ 20 มกราคม ถึง 2 กุมภาพันธ์ 2566 ผลสำรวจที่ออกมามีความน่าสนใจอย่างมาก
ผลสำรวจนี้สะท้อนถึงปัญหาและแนวโน้มหนี้ครัวเรือน สรุปได้ 4 หัวข้อ คือ 1.แม้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย แสดงให้เห็นความเปราะบางที่ยังหลงเหลือจากวิกฤตโควิด
แม้ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีมุมมองต่อการฟื้นตัวของรายได้ที่ดีขึ้นในระยะข้างหน้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่มองว่าการฟื้นตัวของรายได้จะเป็นไปอย่างช้า ๆ และยังไม่กลับไปเท่าระดับก่อนวิกฤตในระยะเวลาอันใกล้ อีกทั้งที่ผ่านมาต้องเผชิญรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าครองชีพที่เร่งตัว
ผู้ตอบแบบสอบถาม 82% มีปัญหารายได้โตไม่ทันรายจ่าย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย (ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน) ที่ประสบปัญหานี้มากถึง 89% ส่งผลโดยตรงต่อการออม ซึ่งมีเพียง 7% ของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่สามารถเก็บออมได้ทุกเดือน
ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่าหนี้ครัวเรือนไทยจะมีแนวโน้มลดลงไม่เร็วนักในระยะต่อไป จากปัญหาความไม่สมดุลระหว่างรายได้และรายจ่าย รวมถึงปัญหาการออม ท่ามกลางเงินเฟ้อสูงและดอกเบี้ยสูง โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
2.หนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบเป็นความเสี่ยงสำคัญของครัวเรือนไทย ก่อนเกิดวิกฤตโควิด พบว่ามีสัดส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นหนี้ 63% โดยเกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 31% เป็นหนี้นอกระบบ และมีแนวโน้มจะก่อหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับผู้ตอบแบบสอบถามที่มีหนี้เพิ่มขึ้นตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด แต่ไม่เคยมีหนี้มาก่อน พบว่ามีสัดส่วนราว 40% (กลุ่มหนี้หน้าใหม่) กลุ่มที่เหลือสัดส่วนราว 60% เป็นผู้ที่มีหนี้อยู่ก่อนแล้ว และมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่มีหนี้ในปัจจุบันมีแนวโน้มจะกู้ยืมเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะผู้มีหนี้นอกระบบ ที่ต้องการกู้เพิ่มขึ้นจากทั้งแหล่งในและนอกระบบ ขณะที่ผู้มีหนี้ในระบบมีแนวโน้มก่อหนี้นอกระบบมากขึ้น
อีกข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจ พบว่าวัตถุประสงค์การกู้เงินที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด ส่วนใหญ่เพื่อใช้จ่ายค่าอาหารและสินค้าจำเป็น แต่ในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ผู้มีหนี้ส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะกู้ยืมเพื่อชำระหนี้เดิมเป็นหลัก
สะท้อนความเปราะบางด้านภาระหนี้ของครัวเรือนที่อาจรุนแรงขึ้น กดดันการนำเงินออมออกมาใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในระยะต่อไป
3.ทักษะทางการเงินมีความสัมพันธ์กับการเป็นหนี้ของครัวเรือน SCB EIC สำรวจและคำนวณคะแนนทักษะทางการเงินของผู้ตอบแบบสอบถามจาก 3 องค์ประกอบ คือ
ความรู้ทางการเงิน พฤติกรรมทางการเงิน และทัศนคติทางการเงิน พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีคะแนนทัศนคติทางการเงินในระดับไม่สูงนัก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีหนี้นอกระบบ
ซึ่งส่วนมากมีคะแนนความรู้ทางการเงินที่ดี แต่อาจมีความจำเป็นฉุกเฉิน ทำให้คะแนนพฤติกรรมหรือทัศนคติทางการเงินออกมาไม่ค่อยดีนัก (เช่น ไม่คิดก่อนใช้เงิน ไม่วางแผนการเงิน) ทำให้จำเป็นต้องกู้หนี้นอกระบบ
นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่มที่มีหนี้นอกระบบมีคะแนนทักษะทางการเงิน ความเข้าใจเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ และระดับรายได้โดยเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สะท้อนข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบของคนกลุ่มนี้
4.ผลสำรวจหนี้ครัวเรือนผ่านมุมมองผู้บริโภคของ SCB EIC ชี้ว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยยังน่ากังวล และควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ปัญหานี้นับเป็นความท้าทายสำคัญของเศรษฐกิจไทย แต่สามารถทยอยแก้ไขให้ดีขึ้นได้หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันและต้องใช้เวลา
ภาพรวมผลสำรวจของ SCB EIC ครั้งนี้มีนัยต่อภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคครัวเรือนดังนี้ ภาครัฐจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือเชิงนโยบายและให้ความรู้ทักษะทางการเงินทุกมิติอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะทัศนคติทางการเงินและความเข้าใจเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ รวมถึงหยุดวงจรหนี้นอกระบบอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากที่พึ่งพิงหนี้นอกระบบอยู่
ภาคธุรกิจจำเป็นต้องติดตามกฎระเบียบและนโยบายแก้หนี้ครัวเรือนของภาครัฐอย่างใกล้ชิด เนื่องจากภาครัฐมีแนวโน้มจะเข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังมากขึ้น อีกทั้งควรเตรียมความพร้อมไว้หากปัญหาหนี้ครัวเรือนรุนแรงขึ้นจนอาจกระทบกำลังซื้อ
ภาคครัวเรือนควรผ่อนชำระหนี้ให้มากกว่าการจ่ายขั้นต่ำ ลดการก่อหนี้ใหม่ที่ไม่จำเป็น ปลูกฝังวินัยการออมเพื่อรองรับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้อีก และปรับทักษะให้สอดคล้องกับโลกหลังวิกฤตโควิด เพื่อเพิ่มความมั่นคงของกระแสรายได้
ข้อมูลผลสำรวจของ SCB EIC ดี ๆ เช่นนี้ หวังว่าจะส่งถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยอย่างจริงจังเสียที