SET ยังคงผันผวนตามสถานการณ์จัดตั้งรัฐบาลใหม่

InnovestX มองว่าเริ่มเห็นทางออกในการเจรจาเพดานหนี้สาธารณะ หลังจาก ปธน.ไบเดนรีบกลับประเทศหลังประชุม G7 เพื่อร่วมหาทางออก


InnovestX มองว่าเริ่มเห็นทางออกในการเจรจาเพดานหนี้สาธารณะ หลังจาก ปธน.ไบเดนรีบกลับประเทศหลังประชุม G7 เพื่อร่วมหาทางออก โดย InnovestX มองว่ามี 5 ประเด็นที่ต้องจับตาในการเจรจาครั้งนี้ คือ (1) วงเงินที่จะปรับลดงบประมาณ (2) การโอนเงินที่ไม่ได้เบิกจ่ายกลับคลัง (3) เงื่อนไขรับเงินสวัสดิการที่จะเข้มงวดขึ้น (4) การเร่งออกใบอนุญาตของโครงการด้านพลังงาน และ (5) การเพิ่มเพดานชั่วคราว แต่มุมมองที่ยังแตกต่างกันมากทำให้ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถตกลงกันได้ก่อนเส้นตาย ส่วนในประเด็นยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น InnovestX มองว่าหากมองการขยายตัวรายปีที่ 1.6% ยังเป็นทิศทางที่ลดลงต่อเนื่อง

นอกจากนั้น แม้การใช้จ่ายด้านการทานอาหารนอกบ้านยังฟื้นตัวดี แต่การใช้จ่ายในสินค้าขนาดใหญ่ เช่น เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าหดตัวต่อเนื่อง บ่งชี้ถึงกำลังซื้อที่ลดลง ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่เรามองก่อนหน้า ด้านตัวเลขเศรษฐกิจจีน InnovestX มองว่ามีความเสี่ยงมากขึ้นที่จีนจะฟื้นตัวต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาด สอดคล้องกับตัวเลขนำเข้าและเงินเฟ้อที่ยังหดตัวต่อเนื่อง รวมถึงเงินฝากที่ยังขยายตัวสูงกว่าสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม InnovestX เชื่อว่าในระยะต่อไป ชาวจีนจะเริ่มหันกลับมาจับจ่ายเพิ่มขึ้นบ้าง ทำให้เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวในระดับ 5.3-5.7% ด้านไทยได้ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2566 ขยายตัวต่อเนื่อง 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน สูงกว่าตลาดคาดที่ 2.3% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยว

ขณะที่การส่งออกสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดเศรษฐกิจ โดยหดตัว -6.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ตามการชะลอลงของเศรษฐกิจและการค้าโลก มองไปข้างหน้า InnovestX มองว่ายังมีความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความไม่แน่นอนในช่วงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่จะกระทบการจัดทำงบประมาณ, เสถียรภาพทางการเงินโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่กำลังมีประเด็นเกี่ยวกับการขยายเพดานหนี้ภาครัฐและสถานะทางการเงินของธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก และปัญหาภัยแล้งในครึ่งปีหลัง

ส่วนภาพตลาดหุ้นไทย InnovestX มองว่า SET ยังคงผันผวนตามสถานการณ์จัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยระดับการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ ซึ่งคงต้องติดตามต่อไป โดยเฉพาะช่วงเดือน ก.ค. ซึ่งจะมีการเปิดประชุมสภาเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีไทย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามจากประเด็นเพดานหนี้ รวมทั้งฐานะการเงินของธนาคารขนาดกลางและเล็กของสหรัฐฯ กลยุทธ์จึงแนะนำให้ “Selective Buy” ดังนี้

1) หุ้น Best of the best มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU, BBL, BDMS, CPALL

2) หุ้นที่คาดหวังจะได้ประโยชน์จากนโยบายทั้งเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม (Old Economy) และแบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เลือก MAKRO, MINT, ADVANC, BDMS, EA, AH

ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุน 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ KEX กลุ่มอสังหา ได้แก่ LPN, SIRI, PSH, QH กลุ่มอาหาร ได้แก่ ZEN, CPF, GFPT, TU และ 3) หุ้นที่ราคาขึ้นมาสูงกว่าโควิด-19 และเราแนะนำ Underperform เลือก KTC, ASP, MST, THRE, AAV, SAT

Back to top button