พาราสาวะถี

ใช่ว่า ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยสร้างไทย ยอมขอโทษ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แล้วทุกอย่างจะจบสงบเรียบร้อย


ใช่ว่า ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยสร้างไทย ยอมขอโทษ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แล้วทุกอย่างจะจบสงบเรียบร้อย สำหรับองคาพยพ 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล เพราะกรณีนี้เป็นเพียงแค่เรื่องมารยาททางการเมือง ที่คนของเพื่อไทยก็รู้กันอยู่ว่าที่คนของพรรคดังกล่าวลุกขึ้นมาจี้ถามในลักษณะนี้ คาดคั้นเอาคำตอบให้ได้นั้น เจตนาไม่ใช่แค่นักข่าวฝากถามแน่นอน มันต้องย้อนกลับไปดูถึงการแยกตัวออกจากพรรคนายใหญ่ ทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น

มิเช่นนั้น คงไม่ได้เห็นการรีทวีตข้อความจากทวิตเตอร์ของ ดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและนักออกแบบชื่อดังที่อยู่ในกลุ่มแคร์ ของ ทักษิณ ชินวัตร กับเนื้อหาที่ว่า “ต้องทนให้คนที่เรียกตัวเองว่าเพื่อน เอาตีนถีบหน้าอยู่ทุกวันจริงหรือครับ เพื่อนที่โกหก คอยแทงข้างหลังตลอด แต่ต้องช่วยมันเพราะลำพังตัวเองมันไปเองก็ไม่รอด ไม่ช่วยมันกูก็ผิด ช่วยมันกูก็เจ็บ #ความอดทนบางทีแม่งก็มีขีดจำกัด” โดยคนแดนไกลยังได้ทวีตข้อความด้วยว่า Sound Familiar krub” ที่แปลเป็นไทยได้ว่าคุ้น ๆ นะครับ

ถอดรหัสดังกล่าวอาจมองได้สองแง่คือ หมายถึงการที่เพื่อไทยจะต้องกระเตงให้ก้าวไกลตั้งรัฐบาลสำเร็จ แล้วดัน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ให้ได้ แม้จะเป็นความเจ็บปวดที่พรรคของตัวเองก่อนหย่อนบัตรก็ถูกเล่นงานจนแผนแลนด์สไลด์ผิดเป้าอย่างรุนแรง หรืออีกด้านเป็นการกระแทกตรงไปยังพรรค 6 เสียง เพราะรู้กันอยู่ว่ามีความหลังอะไรกันไว้ ไม่ว่าจะอย่างไร สัญญาณที่ส่งตรงมาเช่นนี้ย่อมเป็นการกระตุกเตือน 7 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะก้าวไกลให้ก้าวเดินไปด้วยกันอย่าสะดุด และรู้จักให้เกียรติกันบ้าง

รอยปริแยกไม่ได้มีแค่ปมศิธากับหมอชลน่าน หากแต่ยังเห็นท่วงทำนองการดักคอพรรคสีส้มกับเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร จากตัวเก๋าเกมของพรรคนายใหญ่อย่าง อดิศร เพียงเกษ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งทะลุกลางปล้อง “ประธานสภาผู้แทน ก้าวไกลอย่ากินรวบ ประธานสภา ต้องอยู่เพื่อไทย” ไม่ใช่นักการเมืองตกยุคที่จู่ ๆ ก็ออกมาท้าตีท้าต่อยเป็นแน่ การขยับในลักษณะนี้เพื่อหยั่งท่าทีและเป็นอีกหนึ่งกระบวนท่าระหว่างทางการต่อรอง พรรคแกนนำตั้งรัฐบาลจะยอมพรรคอันดับสองหรือไม่

ทั้งที่หากอ้างถึงมารยาทและย้อนกลับไปดูการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรหลังการเลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่า คนของพรรคที่ชนะเลือกตั้งจะได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาฯ มาโดยตลอด เว้นแต่การเลือกตั้งหนที่ผ่านมา ที่เพื่อไทยชนะแต่ไม่ได้ตั้งรัฐบาลเท่านั้น ที่เล่นแร่แปรธาตุกันเพื่อให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ไปต่อ และพรรคสืบทอดอำนาจเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แต่เพื่อความปลอดภัยในการคุมเกมของสภา จึงยกตำแหน่งนี้ให้กับ ชวน หลีกภัย จากประชาธิปัตย์ไปแทน

อย่างไรก็ตาม เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ทั้งที่ปลายทางก็รู้แล้วว่าจะจบลงอย่างไร ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับการฟอร์มทีมตั้งรัฐบาล แต่ก็ประมาทไม่ได้ ถ้าก้าวไกลยืนกระต่ายขาเดียวด้วยความเชื่อมั่น และยืนยันเสียงสนับสนุนของประชาชนคือฉันทามติที่ตัวเองจะต้องเป็นผู้คุมเกมเท่านั้น โอกาสพลิกคว่ำพลิกหงายทางการเมืองก็มีความเป็นไปได้ เหมือนอย่างที่มีการปล่อยข่าว และ 7 พรรคร่วมระแวงเพื่อไทยว่าจะไปตั้งรัฐบาลแข่ง จับมือกับอีกพวก

ไม่ว่าการเมืองจะออกมาสูตรไหน พวกเชียร์ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ต้องตีอกชกตัวว่าคนที่หลับหูหลับตาสนับสนุนให้ทำต่อนั้นจะได้กลับมาอยู่ยาว เนื่องจากหากเพื่อไทยสะบัดมือตีจากก้าวไกล สูตรที่จะเป็นไปได้สูตรแรกคือ จับมือกับพรรคสืบทอดอำนาจและภูมิใจไทยซึ่งจะมีเสียง ส.ส.ในมือปริ่มน้ำ 252 เสียง แต่มือของ ส.ว.ลากตั้งที่จะมาหนุนนั้น ด้วยศักยภาพของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.และคอนเนคชั่นบางส่วนของ อนุทิน ชาญวีรกูล เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาสำหรับการโหวตเลือกนายกฯ

โดยที่เสียงตรงนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจากบรรดาพรรคขนาดเล็กบางส่วน โดยมีก้าวไกล รวมไทยสร้างชาติและประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ขณะที่อีกสูตรตรงนี้เพื่อไทยกับก้าวไกลยังจับมือเหมือนเดิม แต่เติมเอาภูมิใจไทย พลังประชารัฐเข้ามา เป็นการปิดสวิตช์ ส.ว.แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเดินกันในแนวทางนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นสูตรไหนก็จะเห็นได้ว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้นถูกตัดออกจากวงจรการบริหารประเทศโดยสิ้นเชิง

ทั้งนี้ เมื่อประเมินสถานการณ์จนถึงเวลานี้ คำประกาศของ แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่เพื่อไทยจัดงานประสานกำลังใจ เดินหน้าต่อไป เพื่อประชาชน ถอดบทเรียนเลือกตั้งเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า “เราไม่หวังส้มหล่น จะช่วยก้าวไกลตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ” มันก็เหมือนการตอกย้ำว่า ไม่มีแผนอื่นสำหรับการร่วมกันตั้งรัฐบาล เช่นเดียวกันกับเสียงจากคนฝั่งประชาธิปไตยในพรรคทั้ง จาตุรนต์ ฉายแสง และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต่างมองไปในมุมเดียวกัน ทุกคนทุกฝ่ายต้องใช้ความอดทนเพื่อตั้งรัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชนและผู้รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

โดยเฉพาะเสียงเตือนจากจาตุรนต์นั้นต้องรับฟังกันอย่างยิ่ง “ให้นึกเสียว่า มีประยุทธ์มายืนอ้าแขนรับอยู่ข้างหลังติด ๆ กันเลย พอถอนตัวก็จะเข้าสู่อ้อมกอดประยุทธ์ทันที พอจะเย็นลงมั้ย” ก่อนที่จะแนะนำต่อว่า เพื่อน ๆ กำลังร่วมกันทำงานใหญ่คือการตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยตามที่ประชาชนมอบหมายมา ถ้าตั้งไม่สำเร็จก็จะเป็นประโยชน์กับการสืบทอดอำนาจเผด็จการ เพื่อนทำให้ไม่พอใจบ้างก็ต้องอดทน ถ้าความอดทนมีขีดจำกัดก็ต้องขยายขีดความจำกัดให้ได้

ส่งเสียงเตือนกันเจี๊ยวจ๊าวขนาดนี้อยู่ที่ท่าทีของผู้นำและกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยว่าจะเย็นลงหรือไม่ ขณะเดียวกัน ซีกก้าวไกลคงต้องเดินเกมประสาน ทำความเข้าใจกันยกใหญ่ เพราะการยอมถอยเรื่อง 112 และกฎหมายนิรโทษกรรมจากเอ็มโอยู ก็ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกของฝ่ายที่ต้องการจะเข้าไปบริหารประเทศ อยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแล้ว ทั้งหมดทั้งมวลทุกอย่างคงจะนิ่งและเดินกันได้ทันทีเมื่อ กกต.ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งแล้ว

Back to top button