ฝรั่งขาย กองทุน-รายย่อยช่วยประคอง
นับจากต้นปีที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 6 มิ.ย. 2566 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิหุ้นไทยออกมาแล้วกว่า 1.02 แสนล้านบาท
นับจากต้นปีที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 6 มิ.ย. 2566
นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิหุ้นไทยออกมาแล้วกว่า 1.02 แสนล้านบาท
การขายของต่างชาติบางวันอาจจะขายหนัก คิดเป็นมูลค่า 3-4 พันล้านบาท
ขณะที่บางวันอาจขายหลัก 200-300 ล้านบาท
มูลค่าการขายจะสลับกันไปแบบนี้เรื่อย ๆ
ทำให้ยากต่อการคาดการณ์ว่า ต่างชาติจะหยุดขายตอนไหน และรอปัจจัยอะไร
ล่าสุด มีการคำนวณมูลค่าลงทุนของต่างชาติในตลาดหุ้นไทย
หากไม่รวมหุ้นเดลต้าฯ และ NVDR
สัดส่วนลงทุนของต่างชาติในหุ้นไทยจะอยู่ประมาณ 19.50% ของมาร์เก็ตแคป
แต่หากนำมารวมได้ สัดส่วนจะอยู่ระดับ 22-23% ของมาร์เก็ตแคป
วันก่อนหน้า ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ “ภากร ปีตธวัชชัย” คาดว่า ต่างชาติน่าจะเริ่มทยอยลดการขาย เพราะจากต้นปีขายออกมาแล้วราว 1 แสนล้านบาท
ตัวเลขนี้ถือว่าค่อนข้างมากพอสมควร
และต่างชาติอาจจะเริ่มค่อย ๆ กลับเข้ามาซื้อในช่วงครึ่งหลังของปี 2566
ส่วนนักวิเคราะห์เองต่างประเมินออกมาในทิศทางเดียวกัน
เพราะหลังจากเดือน ส.ค.นี้
น่าจะมีความชัดเจนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงนโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด อาจจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุน แม้จะคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ของไทย อาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในรอบถัดไป ทำให้ดอกเบี้ยฯ ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.25%
ยังดีที่ว่า ในช่วงที่ต่างชาติขายสุทธิออกมา
ได้นักลงทุนสถาบันเข้ามาช่วยรับไว้
โดยนับจากต้นปีที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 6 มิ.ย. 2566
นักลงทุนสถาบันเข้ามาซื้อสุทธิจำนวน 35,856 ล้านบาททำให้พอจะช่วยประคองตลาดไปได้
ส่วนนักลงทุนรายย่อย มีสัดส่วนการซื้อมากสุดถึง 75,469 ล้านบาท
แต่หากเข้าไปดูดัชนี SET50 จากต้นปี
ดัชนีมีการปรับลงมาต่อเนื่อง จากระดับ 1,020 จุด มาอยู่บริเวณ 925 จุด
หุ้นที่ต่างชาติขายออกมา ส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในกลุ่ม SET50
ส่วนหุ้นที่นักลงทุนสถาบันเข้าซื้อ ส่วนมากก็อยู่ใน SET50 เช่นกันนั่นแหละ หรือเป็นหุ้นที่ต่างชาติปรับพอร์ตทยอยขายออกมา
นักวิเคราะห์ประเมินว่า “เงินสด” ในมือของนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะกองทุนต่าง ๆ นั้น
น่าจะยังมีอีกพอสมควร
โดยถือเป็นเพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับปัจจัยภายในเป็นหลัก
จึงมีคำแนะนำให้เริ่มทยอยสะสมหุ้นในกลุ่ม SET50 แบบค่อย ๆ เข้าทีละไม้
แต่หากจะเล่นสั้น เล่นรอบ
ต้องเข้าเร็วออกเร็วจริง ๆ
และควรจะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกแบบเฉพาะตัว แนวโน้มไตรมาส 2 ออกมาดี มีกำไรเพิ่ม
ดัชนีที่ระดับ 1,500 จุด ถูกประเมินเช่นกันว่า ไม่น่าหลุด
หรือหากหลุด ยังมีแนวรับแข็งแกร่งที่ 1,480 จุด