SET จะมี Upside จำกัด หลังขาดปัจจัยสนับสนุน
ตลาดหุ้นไทย InnovestX มองว่า ช่วงสั้น SET จะยังผันผวนในกรอบ และมี Upside จำกัด หลังขาดปัจจัยสนับสนุน ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ล่าช้ากว่าตลาดคาด
สำหรับประเด็น FOMC นั้น InnovestX มองว่า (1) สัญญาณเศรษฐกิจทุกตัว (ยกเว้นตลาดแรงงาน) กำลังส่งสัญญาณแย่ลง ขณะที่เงินเฟ้อกำลังบรรเทาลง (2) InnovestX เชื่อว่าการส่งสัญญาณคราวนี้ ส่วนหนึ่งเป็นการ “บริหารจัดการความคาดหวัง” (Manage expectation) โดยพยายามลดความร้อนแรง (Calm) ของตลาด เนื่องจากตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่า Fed ยุติการขึ้นแล้ว ซึ่งหากตลาดยังขึ้นต่อเนื่อง จะทำให้เกิด Inflation expectation ขึ้นอีก
(3) InnovestX ยังเชื่อว่า Fed จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยเดือน ก.ค. แต่การประชุมจะมีการถกเถียงกันมาก (ปัจจุบัน CME group ให้โอกาสขึ้นดอกเบี้ยในครั้งหน้าที่ 64.5% จาก 50.9% ในสัปดาห์ก่อน) ขณะที่สถานการณ์ด้านสภาพคล่องทางการเงินจะตึงตัวมากขึ้น
(4) InnovestX เชื่อว่า สถานการณ์ด้านการเงินที่ตึงตัว จะทำให้ความเสี่ยงวิกฤตการเงินกลับมามากขึ้น โดย InnovestX จับตา (4.1) สถานการณ์ Silent bank run (4.2) สถานการณ์การล้มละลายของบริษัท (Bankruptcy) (4.3) สถานการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Commercial Real Estate) ซึ่งประธาน Fed จับตาในสถานการณ์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน ส่วนในประเด็นที่ PBoC ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 1 ปี และ 7 วัน เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน หลังตัวเลขเศรษฐกิจชะลอแรงกว่าคาดนั้น InnovestX มองว่า ความเสี่ยงเศรษฐกิจจีนที่มากขึ้น ทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะลดดอกเบี้ยนโยบายอื่น ๆ เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้ 1 ปี และ 5 ปี แต่อาจไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก เนื่องจากปัจจุบันชาวจีนวิตกกังวลในสถานการณ์เศรษฐกิจ ท่ามกลางอัตราว่างงานหนุ่มสาวที่สูงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในระยะต่อไปต้องจับตาค่าเงินหยวน (รวมถึงค่าเงินบาทและเงินสกุลเอเชีย) มากขึ้นว่าจะอ่อนค่ารวดเร็วเพียงใด ท่ามกลางนโยบายการเงินที่แตกต่างกันระหว่างสหรัฐฯ ยุโรป และจีน
ส่วนภาพตลาดหุ้นไทย InnovestX มองว่า ช่วงสั้น SET จะยังผันผวนในกรอบ และมี Upside จำกัด หลังขาดปัจจัยสนับสนุน ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ล่าช้ากว่าตลาดคาด อีกทั้งแรงกดดันจากสถานการณ์การเมืองไทยจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่ชัดเจน ยังคงเป็นปัจจัยลบระยะสั้นต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ดังนี้
1) หุ้นที่คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 จะยังเติบโตได้ดีทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน เลือก AOT, BBL, ADVANC, MINT, OSP, BDMS และ BEM และหุ้นที่คาดผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เลือก KCE และ ONEE
2) หุ้นที่คาดจะฟื้นตัวได้ดี หลัง SET ย่อตัวแรง เลือก AP, HMPRO
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และ 2) หุ้นที่เราแนะนำ Underperform หรือมีความเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม เลือก AAV (ราคาสูงเกิน pre-covid 19) MST, NRF