ถึงจุดที่ต้องเด้งกลับ

ความคิดแว็บแรกก่อนที่ “โมนิก้า” จะจั่วหัว “ถึงจุดที่ต้องเด้งกลับ” ก็รู้สึกหวั่นใจไม่ใช่น้อย เพราะสถานการณ์หลายอย่างไม่เป็นเหมือนที่คาดหวัง


ความคิดแว็บแรกก่อนที่ “โมนิก้า” จะจั่วหัว “ถึงจุดที่ต้องเด้งกลับ” ก็รู้สึกหวั่นใจไม่ใช่น้อย เพราะสถานการณ์หลายอย่างไม่เป็นเหมือนที่คาดหวัง รวมทั้งตัวแปรหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ก็ส่อไปในทางที่ “ซึมลง” มากกว่า “ฟื้นตัว” ซึ่งสังเกตได้จากเม็ดเงินของการจับจ่ายใช้สอยในเดือน มิ.ย. ก็มีลักษณะฝืดเคืองค่อนข้างมาก รวมทั้งเสียงของชาวบ้านร้านช่องก็บ่นอุบกันเป็นแถว (ไหนเม้าท์กันว่า เลือกตั้งเสร็จ ค้าขายจะดีขึ้น)..อิอิอิ

สถานการณ์ตรงนี้เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่อาจชี้ให้เห็นว่า หุ้นไทยไปต่อยากจริง ๆ และเมื่อดูจากเงินบาทที่อ่อนค่าไปแตะระดับ 34.80 บาท มันเหมือนการกระทืบให้ตลาดหุ้นไทยจมดิน ผนวกกับเจอแรงกดดันดอกเบี้ยขาขึ้นเข้าเต็มรักอีกหนึ่ง จึงกลายเป็นเรื่องที่สั่นคลอนตลาดหุ้นอย่างหนัก “โมนิก้า” ถึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่ต้องเม้าท์อะไรที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงไงล่ะคะ

ถึงกระนั้น “โมนิก้า” ก็ยังยืนยันจั่วหัวตามเดิม เพราะแนวรับบริเวณ 1,500 จุดยังทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ผนวกกับเที่ยวก่อนดัชนีเด้งกลับตรงบริเวณ 1,590 จุด จึงทำให้เดี๊ยนเชื่อว่า การยืนปิดที่ระดับ 1,505.52 จุด ลบไป 3.79 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.35 หมื่นล้านบาท คือจุดที่คุ้มค่ากับการซื้อสวน หรือให้พูดเป็นภาษาเทคนิคการลงทุน ก็คงต้องบอกให้แฟนคลับรู้ว่า “ดาวน์ไซด์ต่ำ” นะออเจ้า

คล้ายกับการลงมาทำดับเบิลโลว์ของหุ้นปลากระป๋อง TU ก็มีจุดให้นักเล่นต้องประเมินว่า แนวรับที่บริเวณ 13 บาทยังมีมนต์ขลังเหมือนครั้งก่อนขนาดไหน? และเมื่อดูจากการเทรดบนค่าค่า PE 9.20 เท่า มันคุ้มค่ากับการเสี่ยงขนาดไหน? เดี๊ยนถึงอยากให้นักเล่นประเมินการยืนปิดที่ระดับ 13.10 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 1.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 496 ล้านบาท น่าเล่นไหมเอ่ย?

เช่นเดียวกับหุ้นขายหมูขายไก่ CPF ซึ่งมีอาการซึมลงมาเรื่อย ๆ ก็มีจุดเด้งครั้งก่อนอยู่ที่ระดับ 19.20 บาทแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นช็อตที่นักเล่นต้องอดทนรอเพื่อรอช้อนของถูกกว่ามากระโจนใส่ในตอนนี้ เพราะการที่หุ้นทิ้งตัวลงมาปิดที่ระดับ 19.90 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 2% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 615 ล้านบาท น่าจะสะท้อนให้เห็นว่า แรงขายยังไม่สะเด็ดน้ำนะจะบอกให้

ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” นึกถึงหุ้นรถไฟใต้ดิน BEM ขึ้นมาทันที เพราะเป็นหุ้นที่อยู่ในภาวะซึมลงเช่นเดียวกับรายข้างต้น ผนวกกับจุดเด้งครั้งก่อนอยู่ที่บริเวณ 8 บาท จึงน่าจะเป็นจังหวะของการเข้าไปเสียบเอาของ ยิ่งเห็นหุ้นลงมาทำโลว์ในระหว่างวันที่ระดับ 8.10 บาท ก่อนจะตีกลับขึ้นไปปิดที่ระดับ 8.30 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 1.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 268 ล้านบาท มันทำให้เดี๊ยนสนใจหุ้นตัวนี้มากขึ้นกว่าปกติก็เท่านั้นเองค่ะ

อีกรายที่น่าเก็บไว้เป็นทางเลือกสำหรับคนเล่นสั้น ต้องยกให้กับลูกคนโตของตระกูลออริอย่างหุ้น BRI หลังราคาหุ้นทิ้งตัวลงมายืนปิดที่ระดับ 9 บาท ลบไป 0.45 บาท หรือลงไป 4.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 57 ล้านบาท และเป็นการยืนปิดที่บริเวณจุดเด้งครั้งก่อน ผนวกกับหุ้นก็เทรดบนค่า PE 5 เท่า พ่วงด้วยอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ระดับ 7% แบบนี้ มันคุ้มกับความเสี่ยงขนาดไหน? ต้องคิดกันเอาเองนะจ๊ะ 

ส่วนใครที่เป็น “ขาลุย ขาโหด” คงเบนเข็มไปมองหุ้น MTW ซึ่งมีเจ้ามือคอยคุมเกมหุ้นไม่ให้แตกขบวนได้อย่างเก่งกาจ ยิ่งได้เห็นหุ้นเทรดบน PE 76 เท่าเป็นเวลานานมากเท่าไหร่ ยิ่งตอกย้ำการดันหุ้นรอบใหม่น่าจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ “โมนิก้า” ถึงมองการยืนปิดที่ระดับ 3.62 บาท ลบไป 0.24 บาท หรือลงไป 6.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 30 ล้านบาท เหมือนเป็นการตบขบวนแถวให้เข้าขบวนแน่ ๆ ไม่เชื่อลองดูวันนี้สิคะ

สำหรับรายที่ล้มทั้งยืนต้องมองไปที่หุ้น SAPPE หลังราคาหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 76 บาท ลบไป 8.25 บาท หรือลงไป 9.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 365 ล้านบาท ล้วนเป็นผลมาจากการเตรียมเก็บภาษีน้ำตาล จึงทำให้นักเล่นกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรในอนาคต เลยพากันเทขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงอย่างหนักแบบนี้..“ถอยก่อน รอดก่อน” นะตัวเอง

Back to top button