พาราสาวะถีอรชุน

โฆษกรัฐบาลเปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนำทีมแถลงผลงานรอบ 1 ปี ระหว่างวันที่ 23-25 ธันวาคมนี้ น่าติดตามว่าจะมีอะไรที่สัมผัสจับต้องเป็นประโยชน์ต่อปากท้องของพี่น้องประชาชนบ้าง แต่เท่าที่ฟัง สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบายนอกจากจะแถลงผลงานแล้ว ยังจะมีการจัดนิทรรศการเล่าปัญหาสำคัญต่างๆ ก่อนการรัฐประหารด้วย


โฆษกรัฐบาลเปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนำทีมแถลงผลงานรอบ 1 ปี ระหว่างวันที่ 23-25 ธันวาคมนี้ น่าติดตามว่าจะมีอะไรที่สัมผัสจับต้องเป็นประโยชน์ต่อปากท้องของพี่น้องประชาชนบ้าง แต่เท่าที่ฟัง สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบายนอกจากจะแถลงผลงานแล้ว ยังจะมีการจัดนิทรรศการเล่าปัญหาสำคัญต่างๆ ก่อนการรัฐประหารด้วย

ตรงนี้นี่แหละที่ต้องขีดเส้นใต้ เพราะมันเท่ากับว่า ถ้ารัฐบาลไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ยังจะมีการโยนบาปไปให้เป็นภาระของรัฐบาลก่อนหน้า แน่นอนว่าหนีไม่พ้นรัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านการบิน การประมงที่ผิดกฎหมาย การบุกรุกพื้นที่ป่าและพื้นที่สาธารณะ

ไม่เข้าใจเจตนาว่าต้องการอะไร โดยเฉพาะการจี้จุดประชานิยม อธิบายถึงการนำเงินในอนาคตมาใช้ในโครงการประชานิยม จนทำให้สภาพเศรษฐกิจบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวในระยะต่อมา การขาดการส่งเสริมให้เกษตรกรมีความเข้มแข็ง การเกษตรที่ทำให้อุปสงค์และอุปทานขาดความสมดุล จนนำมาสู่การควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินของคสช.และรัฐบาลนี้

งานนี้บอกได้คำเดียวว่าได้ใจพวกที่หลับหูหลับตาเชียร์ กลุ่มที่เกลียดระบอบทักษิณไปเต็มๆ แต่สำหรับคนทั่วไปที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะมีสาระอะไรให้เป็นที่พึ่งที่หวังได้หรือไม่ ท่วงทำนองที่แสดงออกเช่นนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า ฐานะ “กรรมการ” ที่กล่าวอ้างตั้งแต่วันแรกที่ยึดอำนาจ พอผ่านพ้นช่วงเวลาที่บริหารประเทศมากว่า 1 ปีและเผชิญปัญหาหลายด้าน ยังคงหลงเหลือความเป็นกลางอยู่หรือไม่

จะว่าไปแล้ว หลายๆ เรื่องไม่ได้เป็นไปเหมือนอย่างที่ท่านผู้มีอำนาจหวัง การบริหารประเทศไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด มิหนำซ้ำ คนใกล้ตัวคนรอบข้าง หลังมอบหมายอำนาจให้ด้วยความไว้วางใจ กลับเป็นตัวสร้างปัญหา ถึงขั้นที่ว่าบางคนไว้ใจไม่ได้ ภาพลักษณ์ที่ท่านผู้นำพยายามสร้างเรื่องของความซื่อสัตย์ สุจริต กรณีอุทยานราชภักดิ์ทำให้ภาพดังว่าเสียหายอย่างหนัก

อาการตีโพยตีพาย ไม่สบอารมณ์คำถามนักข่าวไล่เรียงตั้งแต่พี่ใหญ่ไปจนถึงน้องเล็ก เป็นภาพสะท้อนกระแสชื่นชอบที่แปรเปลี่ยนไปได้เป็นอย่างดี สถานการณ์เช่นนี้มันส่อเค้าว่าจะทำให้เรือแป๊ะล่มปากอ่าวเอาง่ายๆ มิเช่นนั้น คงไม่เกิดกระแสข่าวการปรับครม.ออกมาเป็นระลอก แต่การกำจัดจุดอ่อนก็ยังไม่รู้ว่าจะต่อลมหายใจให้รัฐนาวาคสช.ได้มากน้อยขนาดไหน

เหมือนอย่างที่เคยพูดไปหลายครั้งหลายหน คนที่ได้ชื่อว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ในมือ โดยเฉพาะมาตรา 44 ที่เสมือนยาวิเศษ ก็ใช่ว่าจะใช้ได้ในทุกเรื่อง ไม่อยากจะบอกว่า “ใช้อำนาจไม่เป็น” แต่เท่าที่เห็นในยามที่ต้องเผชิญกับวิกฤติความศรัทธา ท่านผู้มีอำนาจเลือกที่จะใช้อำนาจแบบสะเปะสะปะ เข้าข่ายการใช้อำนาจที่พร่ำเพรื่อ ยิ่งกับกลุ่มคนที่ตรวจสอบทุจริตอุทยานราชภักดิ์ด้วยแล้ว มองมุมไหนมีแต่เสียกับเสีย

กรณีนี้โครงการที่ยิ่งใหญ่นี้นั้น นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรัฐมนตรีไอซีทียุคยิ่งลักษณ์ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเป็นรัฐบาลที่แล้ว หากถูกกล่าวหาโดยมีหลักฐานชัดเจนว่ามีการกินหัวคิวในการก่อสร้างและมีการยืนยันจากผู้เกี่ยวข้องโดยตรงว่ามีพฤติกรรมเช่นนั้นจริงๆ ป่านนี้คงมีม็อบออกมาขับไล่รัฐบาลกันทั่วประเทศ

โดยเชื่อว่าถึงตอนนี้คงต้องมีใครคนใดคนหนึ่งในรัฐบาลแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกไปแล้ว แต่เรื่องนี้จะไม่จบจนกว่ารัฐบาลทั้งชุดจะต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกทั้งหมด ตรงข้ามกับรัฐบาลชุดนี้ แม้จะมีบุคคลที่ต้องรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวในทุกระดับอยู่อย่างชัดเจน แต่ทุกคนก็เข้าใจและยอมรับได้ว่าผู้บริหารระดับสูงย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริต และไม่จำเป็นต้องออกมารับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น

การตรวจสอบเรื่องนี้เป็นเรื่องของการกลั่นแกล้งและหวังผลทางการเมืองเท่านั้น ซึ่งใครก็ตามที่พยายามเข้าไปค้นหาความจริงในเรื่องดังกล่าวย่อมหมายถึงผู้ที่ไม่หวังดีและไม่ต้องการให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อยนั่นเอง จะเห็นได้ว่าม็อบจะเคลื่อนไหวไม่ยอมรับความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นจากสภาพปัญหาต่างๆ อันเกิดจากการบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาดของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

แต่ในรัฐบาลทหาร พวกเขาพร้อมที่จะเงียบ เชื่อฟังและยอมรับกับสภาพปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแม้ว่าจะไม่มีการแก้ไขปัญหาใดๆเลยก็ตาม ซึ่งข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกันเช่นนี้คงแปลความได้ 2 ประการเท่านั้น นั่นก็คือ ประชาชนอยากพูด (ใจจะขาด) แต่พูดไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน หรือประชาชนไม่ต้องพูด เพราะรัฐบาลจะเป็นคนพูดแทนทั้งหมด

ด้วยเหตุนี้นี่เอง ที่ทำให้มองได้ว่า ไม่ว่าสถานการณ์ของประเทศจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ฝันว่าทหารจะเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ได้แบบเบ็ดเสร็จ แต่นั่นก็เป็นเพียงความฝัน เพราะในอดีตไม่เคยมีรัฐบาลทหารชุดไหนสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้จริงๆ แม้แต่ชุดเดียว

นอกจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้แล้ว ยังไร้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินอีกด้วย ดังนั้น ภายใต้การปกครองของเผด็จการทหาร ฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศจึงจมดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งความยากจนทุกครั้ง แต่สำหรับรัฐบาลนี้อาจมีข้อยกเว้น เพราะคนจำนวนหลายร้อยคนที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศจากแบบสำรวจต่างๆ  ยังเทคะแนนนิยมให้อยู่

แม้ว่าภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลปัจจุบัน ประเทศไทยจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เชื่อหรือไม่ว่าหากปัญหาเหล่านี้ไปเกิดขึ้นกับรัฐบาลเลือกตั้งเพียงแค่ปัญหาเดียว ป่านนี้รัฐบาลชุดนั้นคงต้องม้วนเสื่อกลับบ้าน และคนไทยคงได้ไปเลือกตั้งใหม่กันนานแล้ว อย่างไรก็ตาม ปีหน้าน่าจะเป็นปีแห่งการวัดใจว่าคนไทยส่วนใหญ่จะทำตัวเป็นสีทนได้ขนาดไหน

เนื่องจากคาดหมายว่าภาวะความยากจน คนว่างงานคงจะมีภาพที่ชัดเจนและมากขึ้น ขณะที่ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำยังมองไม่เห็นหนทางว่าจะกระเตื้องขึ้นได้อย่างไร ส่วนภาคธุรกิจไม่รู้ว่าจะมีล้มหายตายจากไปกันอีกเท่าไหร่โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ขณะที่รัฐบาลยืนยันจะไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆ ออกมาอีก ส่วนภาคการลงทุนก็หวังได้เฉพาะกับโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล อ่านหน้าเสื่อกันเท่านี้ ถ้าไม่ดีขึ้นก็ตรงข้ามแบบสุดโต่งกันทีเดียว

Back to top button