เชื่อเถอะ ‘JMART’ จะฟื้นครึ่งหลังปี 66

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART ยืนยันว่า กลุ่ม J จะฟื้นตัวช่วงครึ่งหลังปี 66 โดยไตรมาส 3 จะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น จากนั้นจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ


เส้นทางนักลงทุน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวลือในห้องค้าว่าหุ้นกลุ่ม บมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) จะถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ ตรวจสอบการซื้อขาย กดดันให้หุ้นในกลุ่ม J ปรับตัวลงแรง และความมั่งคั่งหายไป

ในรอบเกือบ 6 เดือนของปี 2566 (2 ม.ค.-27 มิ.ย.) 5 หุ้นในกลุ่ม J นำโดยหุ้น JMART ราคาร่วงลงมาราว 66.38% จาก 40.75 บาท (สิ้นปี 2565) มาอยู่ที่ 13.70 บาท (27 มิ.ย. 2566) ขณะที่ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) จากราคา 69 บาท ลงมา 34.75 บาท ลดลง 49.64%

บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ราคาเคลื่อนไหวจาก 28.75 บาท สู่ 8.70 บาท ทรุดลง 69.74% ส่วน บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) จาก 3.84 บาท ไหลลงสู่ระดับ 2.40 บาท คิดเป็น 37.50% และ บมจ.เอสจี แคปปิตอล (SGC) ราคาลดลงจาก 4.96 บาท เหลือ 1.47 บาท ลดลง 70.36%

ด้านมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคป ของทั้งกลุ่ม ลดลงไปจาก 203,068.03 ล้านบาท เหลือ 85,445.42 ล้านบาท โดย JMART ในปี 2565 มีมาร์เก็ตแคป 58,148.31 ล้านบาท ล่าสุดอยู่ที่ 19,968.62 ล้านบาท หายไป 38,179.69  ล้านบาท, JMT จาก 100,681.27  ล้านบาท เหลือ 50,720.74 ล้านบาท เท่ากับลดลง 49,960.53 ล้านบาท

SINGER มาร์เก็ตแคปจาก 23,640.16 ล้านบาท เหลือ 7,212.23 ล้านบาท สูญเสียไป 16,427.93 ล้านบาท, SGC จาก 16,219.20 ล้านบาท เหลือ 4,806.90 ล้านบาท ลดลง 11,412.30 ล้านบาท, J จาก 4,379.09 ล้านบาท เหลือ 2,736.93 ล้านบาท หายไป 1,642.16 ล้านบาท

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดข่าวลือ ซึ่ง JMART ได้ออกหนังสือชี้แจงและปฏิเสธข่าวลือ ระบุว่า จากที่ราคาหุ้นกลุ่ม J อาทิ JMART-JMT ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง คาดว่าจะเป็นผลจากมีกระแสข่าวออกมาสะพัดในห้องค้าหลักทรัพย์ ว่ามีโอกาสที่หุ้นในกลุ่มนี้จะโดนตรวจสอบการซื้อขายอย่างเข้มงวด และอ้างอิงกับหุ้นที่ประสบปัญหาตัวอื่นในตลาดฯ ดังนั้นบริษัทที่ต้องสงสัยจะถูกตรวจสอบ ทำให้นักลงทุนมีความเข้าใจผิด และเกิดความเสียหายต่อบริษัท ซึ่งข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และไม่ใช่การประกาศอย่างเป็นทางการจากตลาดหลักทรัพย์ฯ

กลุ่มเจมาร์ทยืนยันว่าบริษัทให้ความสำคัญในการบริหารงานบนหลักธรรมภิบาล และยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโต แม้มีปัจจัยภายนอกกระทบสร้างความกังวลต่อนักลงทุน และราคาหุ้นที่ปรับลดลง แต่บริษัทยังขอให้ความมั่นใจว่า ในระยะยาว กลุ่มบริษัทมี Ecosystem ที่แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างยั่งยืนได้

ในฝั่งของผู้บริหารบริษัทจะเดินหน้าทำงานด้วยความเต็มที่ และจะพิสูจน์ด้วยผลงานที่กลับมาฟื้นตัว หลังมีการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทในช่วงที่ผ่านมา

โดยเจมาร์ทยังได้ปรึกษาในประเด็นดังกล่าวกับทางตลาดหลักทรัพย์ฯ เรียบร้อยแล้ว หากมีการพูดถึงในประเด็นที่ไม่เป็นความจริงที่ปรากฏตามสื่อสังคมออนไลน์ หรือสื่อต่าง ๆ บริษัทจะดำเนินการเพื่อรักษาองค์กรที่ดำเนินมากว่า 35 ปี และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาแล้ว 14 ปี อยู่บนความถูกต้อง และตรวจสอบได้

อีกหนึ่งปัจจัยที่นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับกลุ่ม J คือ ผลประกอบการ ซึ่งประเด็นนี้ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART ยืนยันกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า กลุ่ม J จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 โดยไตรมาส 3 จะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น จากนั้นจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ

“ผมคอนเฟิร์มว่าครึ่งปีหลัง (2566) จะดีตามที่เคยบอก เพราะปัจจัยลบที่ผ่านมาในไตรามาส 1 ปีนี้ ได้รับการแก้ไขแล้วในไตรมาส 2 เรามีการจัดการปัญหาไปหลายอย่างแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว ไตรมาส 3 ก็ต้องดีขึ้น” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART กล่าว

ก่อนหน้านี้ ผู้บริหาร JMART เคยให้ข้อมูลว่า ไตรมาสแรกขาดทุน 294.7 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ส่วนแบ่งตัวเลขขาดทุนจากบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER มูลค่า 218 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามสัดส่วนที่ถือหุ้น คือ 25.2% และผลจากการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized Loss) จากเงินลงทุนในตราสารทุนอีก 352 ล้านบาท (หลังหักภาษี)

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าผลงานไตรมาส 2 จะเริ่มมองเห็นกำไร หลังจากบริษัทแก้ไขปัญหาของ SINGER และ SGC เพราะช่วงที่ผ่านมาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ JMART ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานให้รัดกุม ซึ่งผลงานไตรมาสแรกปีนี้ถือว่าจะเป็นจุดที่ต่ำสุดของผลประกอบการ และเชื่อว่า JMART สามารถกลับมาพลิกมีกำไรได้อย่างชัดเจนในไตรมาส 3 ปีนี้

และปี 2567 บริษัทจะมีกำไรเติบโต 50% เนื่องจากไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ บริษัทมีการปรับฐานใหม่ โดยเฉพาะจากบริษัทต่าง ๆ เพราะระหว่างนี้ JMART ยังคงมีการลงทุนใหม่ ๆ ต่อเนื่อง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เข้ามาเติมเต็มให้ JMART อีก 2 ดีล ซึ่งเป็นการลงทุนธุรกิจ SME ที่บริษัทเห็นถึงศักยภาพและนำมาต่อยอดโอกาสในการสร้างการเติบโตให้กลุ่ม JMART ได้

ขณะที่ การถือหุ้นในบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป หรือสุกี้ตี๋น้อย สัดส่วน 30% นั้น ปีนี้คาดว่าจะมีกำไร 890 ล้านบาท จากไตรมาสแรกปีนี้ที่รับรู้กำไรแล้ว 209 ล้านบาท และคาดว่าจะยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้ช่วงไตรมาส 3 นี้ คาดจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กลางปี 2567

ถือเป็นการคอนเฟิร์มจากเบอร์ 1 ของกลุ่ม JMART ว่าผลงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเริ่มฟื้นตัว

Back to top button