พาราสาวะถี

ยึกยักยึดยื้อไปอีกจนได้จากที่แกนนำพรรคก้าวไกลพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ปัญหาเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะได้ข้อยุติในวันที่ 2 กรกฎาคม


ยึกยักยึดยื้อไปอีกจนได้จากที่แกนนำพรรคก้าวไกลพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ปัญหาเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะได้ข้อยุติในวันที่ 2 กรกฎาคม แต่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยกลับบอกว่าไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น ด้วยเหตุผลประการหนึ่งคือ ทีมเจรจายังไม่ได้พบกับพรรคก้าวไกลจึงยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ ออกมาจากการเจรจาของสองพรรค จุดสำคัญอยู่ที่ไม่ว่าจะมีบทสรุปอย่างไร เรื่องนี้กรรมการบริหารและ ส.ส.ของเพื่อไทยต้องคุยกันอีกรอบ

ตามที่เสี่ยอ้วนว่านั่นแหละ จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยให้ได้ข้อยุติในเรื่องนี้ เวลา 9 โมงเช้าวันนี้ (3 กรกฎาคม) และจะนำผลการประชุมของกรรมการบริหารพรรคไปหารือกับที่ประชุม ส.ส.พรรค เวลา 10 โมง คาดว่าจะได้มติที่ชัดเจนแล้วจะแถลงข่าวต่อสาธารณชน ลีลาเช่นนี้อาจมองได้ว่าเป็นเพียงพิธีกรรม เพื่อไม่ให้เกิดการยอมอย่างง่ายดายที่จะยกตำแหน่งนี้ให้กับคนของพรรคก้าวไกลไปครอง ทั้งที่ เงื่อนไขการต่อรองมีบทสรุปกันไปแล้ว

ประเด็นที่ว่ามีการขอตามที่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า ไม่ได้แย่งเก้าอี้นั่นก็ถูกส่วนหนึ่ง จะให้หรือไม่ให้ก็เป็นเรื่องของก้าวไกล แต่ที่ขอมากไปกว่านั้นไม่ใช่เก้าอี้รัฐมนตรีคลัง หากเป็นเรื่องของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามที่เคยบอกไว้หาก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่สามารถฝ่าด่าน 376 เสียงของที่ประชุมรัฐสภาไปได้ ไม่ว่าจะโหวตกันกี่หนก็ตาม เพื่อรักษาเส้นทางของ 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล ตามฉันทามติของประชาชนต่อไป ต้องหันมาใช้บริการแคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทย

นั่นหมายความว่า พรรคอันดับสองจะได้สิทธิในการเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล โดยก้าวไกลก็ได้เก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติไปเดินหน้าการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของประเทศตามที่เป็นเป้าหมายหลักของพรรค ขณะที่เพื่อไทยก็จะได้ไปทำหน้าที่แก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ถือเป็นการสมประโยชน์สองฝ่ายหรือวิน-วินเกม เพราะเส้นทางการเดินไปสู่เก้าอี้นายกฯ คนที่ 30 ของพิธานั้นมันช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน ไม่เพียงแค่ด่านหิน 376 เสียง แต่ระหว่างทางยังไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นอีกหรือไม่

อย่าลืมปมถูกร้องชูนโยบายแก้ไขมาตรา 112 เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยังไม่รู้จะหมู่หรือจ่า ไม่ใช่มีแค่พิธาที่ถูกร้องแต่เหมารวมทั้งพรรค เสี่ยงถึงขั้นถูกยุบ ยังไม่นับรวมปมถือหุ้นไอทีวี ถ้า กกต.กินดีหมีสวมหัวใจสิงห์ยื่นร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เรียกได้ว่าชะตากรรมแขวนอยู่บนเส้นด้าย ดังนั้น การยืนกรานเรื่องเก้าอี้ประธานสภาฯ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นการคิดเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้แล้วสำหรับพรรคก้าวไกล

หากเพื่อไทยพลิกกลับมาเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล สิ่งที่ถูกคาดหมายกันต่อไปเพื่อให้เดินหน้าเข้าสู่อำนาจฝ่ายบริหารไร้อุปสรรค เสียงสนับสนุนอาจจะไม่จบที่ 8 พรรคร่วม อย่างน้อยก็ต้องดึงพรรคใดพรรคหนึ่งมาร่วมเพื่อให้ได้เสียง ส.ส.เพิ่ม และหาเสียงหนุนจาก ส.ว.ที่ไม่ต้องออกแรงเหนื่อยถึง 64 เสียง เมื่ออ่านเกมกันตามนี้แทบไม่ต้องเดายังไงก็ต้องเป็นพรรคของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. กรณีแรงต้านของฝ่ายประชาธิปไตยคงไม่หนักหน่วง เนื่องจากมองเห็นสภาพการเมืองและความจำเป็นที่จะต้องเดินกันตามสูตรนี้

เรื่องดีลลับจึงไม่ใช่ข่าวโคมลอย หรือสื่อตีกันไปเอง ทุกอย่างล้วนมีมูลเพียงแค่ว่าน้ำหนักของดีลที่มีการพูดคุยกันนั้น มันจะหนักไปทางไหนก็เท่านั้น โจทย์ใหญ่ของฝ่ายชนะเลือกตั้งที่รวมเสียงได้ 312 เสียงนั้น ความคงที่ของจำนวน และเวลาที่ยืดเยื้อ มันสะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการตั้งรัฐบาลมันไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ แต่หนนี้ดีหน่อยที่ฝ่ายสืบทอดอำนาจพวกอยากอยู่ยาว โอกาสที่จะพลิกเกมกลับมาได้น้อยมาก จนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแสดงอาการถอดใจอย่างเห็นได้ชัด

ไม่เพียงแต่ผลการเลือกตั้งที่พรรคพวกฝ่ายตัวเองแพ้ขาดลอยหลุดลุ่ยเท่านั้น ที่ทำให้เสียหน้าและเสียหายอย่างที่สุดคือ พื้นที่ทหารทุกกรม กอง พรรคของตัวเองและพวกแพ้ฝ่ายตรงข้ามยับ หนักข้อไปกว่านั้นคือดันไปเลือกพรรคสีส้มกันเสียถล่มทลาย เช่นนี้แล้วก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน มันจึงทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องพิจารณาตัวเอง และเห็นว่าถึงเวลาที่จะต้องลงจากอำนาจได้แล้ว ไม่ว่าจะหาช่องกลับมายังไงก็เป็นการยากอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม กรณีการไขก๊อกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เพื่อจะยังคงเป็นเลขาธิการนายกฯ ต่อไปนั้น ไม่ได้มีนัยทางการเมืองว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะได้กลับมาแต่อย่างใด เพียงแค่สถานการณ์ที่ยืดเยื้อนั้น จะทำให้รัฐบาลรักษาการได้อยู่ในอำนาจนานกว่าที่คาดไว้ก็เท่านั้น ขณะเดียวกันการขยับกันแบบนี้ก็หมายความว่าพรรคของคนอยากอยู่ยาวจะมีการปรับเปลี่ยนกันอีกระลอกเพื่อกระชับอำนาจสำหรับทีมผู้อยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง

สำหรับ 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล หากจำเป็นต้องเติมเสียงหนุนจากพรรคสืบทอดอำนาจเข้ามานั้น ไม่เพียงแต่ด้วยเหตุผลที่ว่าพิธาเดินหน้าไม่สำเร็จ มีการเปลี่ยนแกนนำเป็นเพื่อไทย จึงไม่เข้าข่ายเงื่อนไขที่ทางก้าวไกลได้แสดงเจตนารมณ์ตอนหาเสียงไว้ ยังมีปัจจัยเรื่องนโยบายของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เรื่องการก้าวข้ามความขัดแย้ง โดยมีกฎหมายที่จะทำให้ทุกฝ่ายสามารถประสานมือเกาะเกี่ยวกันเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง ซึ่งได้ข่าวว่ามือทำงานของคนใช้ใจบันดาลแรงได้ทำเสร็จแล้ว จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยลดเสียงโห่และแรงกระเพื่อมของด้อมส้มและกองเชียร์แดงได้ในระดับหนึ่ง

ลองจับอาการกันดูในวันโหวตเลือกประธานและรองประธานสภาฯ พรุ่งนี้ หากไม่มีการเสนอชื่อใครมาแข่ง และเสียงโหวตของพรรคสืบทอดอำนาจชี้ไปในทิศทางที่หนุนคนที่พรรคร่วมตั้งรัฐบาลเสนอมาทั้ง 3 คน ก็น่าจะค่อนข้างแน่นอนว่า แนวโน้มของการโหวตเลือกนายกฯ จะเป็นไปในทิศทางใด ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามนี้ก็ชัดเจนเช่นเดียวกันว่าฝ่ายค้านนั้นจะนำทีมโดยภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติและประชาธิปัตย์ โดย อนุทิน ชาญวีรกูล ก็จะได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเหมือนที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้า

Back to top button