SET มีโอกาสฟื้นตัวแต่ Upside ยังจำกัด

InnovestX มองว่า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวของสหรัฐฯ เช่น ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และคำสั่งซื้อสินค้าคงทนจะปรับตัวดีขึ้น


InnovestX มองว่า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวของสหรัฐฯ เช่น ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และคำสั่งซื้อสินค้าคงทนจะปรับตัวดีขึ้น แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากประเด็นเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะผ่านพ้น ทำให้ความเชื่อมั่นดีขึ้น และจากสายการบินสั่งซื้อเครื่องบินโดยสารเพื่อสนับสนุนการเดินทาง

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวชะลอลง โดยเฉพาะดัชนี Flash Composite PMI ของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั่วโลกชะลอลงอย่างพร้อมเพรียงในเดือน มิ.ย. บ่งชี้ว่าการชะลอตัวรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เศรษฐกิจโลกกำลังเริ่มชะลอลงโดยพร้อมเพรียงจาก 

(1) การชะลอตัวจากภาคการผลิตกำลังเข้าสู่ภาคบริการ 

(2) นโยบายการเงินที่ตึงตัว นำไปสู่สภาพคล่องทางการเงินที่ตึงตัวขึ้น และเริ่มกดดันภาคเศรษฐกิจมากขึ้น 

(3) ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อน่าจะชะลอลงเป็นลำดับ โดยเฉพาะเงินเฟ้อจากภาคการผลิต ที่จะเริ่มชะลอตัวลงตามราคาโภคภัณฑ์และเงินเฟ้อจากจีนที่หดตัว 

ทั้งนี้ ราคาบ้านสหรัฐฯ ที่หดตัวและความคาดหวังเงินเฟ้อ 1 ปีข้างหน้าที่ชะลอต่อเนื่องตอกย้ำมุมมองของ InnovestX เช่นกัน ทำให้ InnovestX มองว่ามุมมองของประธานธนาคารกลางต่าง ๆ ที่ยังส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่อนั้น ส่วนหนึ่งเป็นการบริหารความคาดหวังของตลาดว่าจะไม่ลดดอกเบี้ยปีนี้ เพื่อให้ความคาดหวังเงินเฟ้อโดยรวมลดลง 

ส่วนการที่ทิศทางนโยบายการเงินของซีกโลกตะวันตกยังคงส่งสัญญาณตึงตัว ขณะที่นโยบายการเงินในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และจีน มีทิศทางผ่อนคลายกว่า ทำให้เงินสกุลเอเชียอ่อนค่าลงรุนแรงขึ้น และทำให้บาทมีทิศทางอ่อนค่าลงแรงเช่นกันสวนภาพตลาดหุ้นไทย

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น InnovestX มองว่า แม้ SET มีโอกาสฟื้นตัวหลังปรับตัวลงแรงช่วงก่อนหน้า แต่ยังมี Upside จำกัด เนื่องจากมีความเสี่ยงต้องจับตาทั้งจากสถานการณ์การเมืองไทยหลังเตรียมเปิดประชุมผู้แทนราษฎรนัดแรก (4 ก.ค.), การไหลออกของ Fund Flow จากตลาดการเงิน (ทั้งตลาดตราสารหนี้และตราสารทุน) ทำให้เงินบาทอ่อนค่าซึ่งอาจกระทบต่อการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ อีกทั้งภาพตลาดโลกยังกังวลธนาคารกลางหลายแห่งยังส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องซึ่งจะกดดันเศรษฐกิจโลกถดถอย ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ดังนี้ 

1) หุ้นที่คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 จะยังเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เลือก AOT, BBL, ADVANC, MINT, OSP, BDMS และ BEM 

2) หุ้นพื้นฐานดีซึ่งคาดยังมีศักยภาพจ่ายเงินปันผลสูง โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2566 มากกว่าปีละ 5% เลือก TISCO, LH และ AP 

3) หุ้นสู้วิกฤติ ซึ่งคาดราคาจะทยอยฟื้นตัวได้ดีใน 1 เดือน หลังปรับตัวลงมาแรงเนื่องจากสิ้นสุดการเลือกตั้งไทยเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 เลือก BH, BTS, CHG และ CPALL

4) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่า เลือก AH, NYT และ ERW

ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญจากกำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC, SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF, GFPT)

สุกิจ อุดมศิริกุล
กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

 

Back to top button