PTG ซื้อเมื่อคนอื่นกลัว.!?
วลีอมตะในโลกตลาดทุน “จงกล้าตอนที่คนอื่นกลัว..และกลัวตอนที่คนอื่นกล้า” ของ Warren Buffett ดูเหมือนจะใช้ได้กับหุ้น PTG ช่วงเวลานี้ได้หรือไม่.!?
หนึ่งในวลีอมตะในโลกตลาดทุนที่ว่า “จงกล้าตอนที่คนอื่นกลัว..และกลัวตอนที่คนอื่นกล้า” ของปรมาจารย์ด้านการลงทุนของโลกคือ Warren Buffett ดูเหมือนจะใช้ได้กับหุ้นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ช่วงเวลานี้ได้หรือไม่..!!??
มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา เห็นชอบไม่ต่อมาตรการลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 5 บาทต่อลิตร ที่จะสิ้นสุด 20 ก.ค.นี้ พร้อมเห็นสมควรให้ใช้มาตรการของกองทุนน้ำมัน ที่มีฐานะการเงินดีขึ้นตามลำดับ รับหน้าที่ดูแลเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลต่อไป
มีความเป็นได้อยู่ 3 กรณี กรณีแรกโยกเงินกองทุนน้ำมันทั้งหมดที่เก็บอยู่ 3.80 บาทต่อลิตร และขึ้นราคาขายปลีกขึ้นอีก 1 บาท กรณีที่สองโยกเงินกองทุนน้ำมันทั้งหมด 3.80 บาทต่อลิตร และดึงเงินกองทุนจ่ายออกเพิ่มอีก 1 บาทต่อลิตร กรณีที่สาม โยกเงินกองทุนน้ำมันทั้งหมด 3.80 บาทต่อลิตรดึงกองทุนน้ำมันจ่ายออกเพิ่มอีก แต่ไม่ถึง 1 บาทต่อลิตร และลดค่าการตลาดช่วยในส่วนที่เหลือ (ปัจจุบันค่าการตลาดอยู่ที่ 1.90 บาทต่อลิตร)
นั่นทำให้วันถัดมา (12 ก.ค.) หุ้นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เกิดแรงตื่นตระหนกเทขาย ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงลึกกว่า 10% ด้วยความกังวลว่า “การไม่ต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล” จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับขึ้น ซึ่ง PTG อาจต้องเผชิญ “แรงกดดันเชิงลบ” ทั้งยอดขายและค่าการตลาดลดลง ด้วยความที่ PTG มีสัดส่วนรายได้จากน้ำมันดีเซลมากที่สุด
คำถามคือ..ราคาหุ้น PTG ปรับลงแรง..สะท้อนปัจจัยเชิบลบดังกล่าวมากเกินไปหรือไม่.!?
หากมองเฉพาะเรื่องภาษีสรรพสามิต มองว่า น่าจะเป็นการแพนิกระยะสั้นเท่านั้น เพราะอย่าลืมว่าฐานลูกค้าของ PTG (ปั๊มพีที) ส่วนใหญ่เป็นบรรดากลุ่มผู้ประกอบการโลจิสติกส์..การจะปรับลดปริมาณการเติมน้ำมันดีเซล เพราะราคาแพงขึ้น อาจไม่ใช่ทางเลือก เพราะกลุ่มนี้มีทางออก..ด้วยการขยับขึ้นค่าขนส่งเพื่อชดเชยได้
ในเชิงปัจจัยพื้นฐานผู้บริหาร PTG ยืนยันยอดขายน้ำมันไตรมาส 2/66 มีการเติบโตต่อเนื่อง ด้วยแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว และวันหยุดที่ค่อนข้างเยอะ ทำให้ยอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “กลุ่มน้ำมันดีเซล” ขณะที่ยอดขายกลุ่มนอนออยล์ เติบโตมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 80-90% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ขณะที่ภาพรวมการดำเนินงานปี 2566 มีการเตรียมงบลงทุนไว้ 5,000-6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจน้ำมัน 1,000-1,500 ล้านบาท รองรับการขยายสถานีบริการน้ำมัน จากปัจจุบัน 2,160 แห่ง เพิ่มเป็น 2,206 แห่ง ภายในสิ้นปีนี้, ธุรกิจนอนออยล์ 2,000-2,500 ล้านบาท และธุรกิจใหม่อีก 1,500-2,000 ล้านบาท
และนั่นทำให้ปีนี้ EBITDA มีแนวโน้มเติบโต 8-12%..!!
หากเป็นเช่นนั้นจริง..หุ้น PTG ที่เจอ “แรงขายจากแรงกลัว” น่าจะถือเป็นโอกาสเข้าซื้อเพื่อการลงทุนได้เช่นกัน เพราะยังไงซะ “น้ำมันดีเซล” ยังเป็นเส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจขนส่งไปอีกนาน..
แม้อาจจะถูกท้าทายด้วยรถยนต์ EV เป็นระยะ ๆ ก็ตามทีเถอะ..!!??