พาราสาวะถี

หลัง พิธา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ผู้ชนะเลือกตั้งท่วมท้นจากฉันทามติประชาชน พา 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล พ่ายแพ้กลไกของขบวนการสืบทอดอำนาจ


หลัง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ผู้ชนะเลือกตั้งท่วมท้นจากฉันทามติประชาชน พา 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล พ่ายแพ้กลไกของขบวนการสืบทอดอำนาจที่ไม่อาจผ่านด่านการโหวตเลือกจากที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งกำหนดเกณฑ์ไว้ว่าต้องได้รับ 376 เสียงขึ้นไป เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณต่อการโหวตเลือกครั้งที่ 2 ว่าจะมีการเสนอชื่อคนชิงเก้าอี้แข่งจากขั้วรัฐบาลเดิม โดยอ้างเหตุผลแม้จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่อยากให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้

เดินเกมกันมาขนาดนี้คงไม่ต้องเหนียมอะไรกันแล้ว พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.จะได้รับการเสนอชื่อถือหางจากฝ่ายขั้วรัฐบาลเดิม เมื่อพิจารณาจาก 199 คนที่งดออกเสียงเมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมา บวกกับไม่เห็นชอบอีก 182 เสียง ถือเป็นตัวเลขที่มีนัยทางการเมืองอย่างยิ่ง แม้ว่าหลังจากได้สืบทอดอำนาจกันสมใจแล้ว เสียงของ ส.ส.ในสภาจะมีเพียงแค่ 188 เสียงก็ตาม การเมืองโสมมวางแผนกันไว้แบบนี้ก็หนีไม่พ้นการแจกกล้วยซื้อตัวงูเห่าเพื่อยกมือหนุนรัฐบาลในการพิจารณาเรื่องสำคัญ

ถามว่าแล้วคนไทยส่วนใหญ่จะนั่งมองกันตาปริบ ๆ อย่างนั้นหรือ โดยเฉพาะฝ่ายที่ต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอยากได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ หากจะเกิดการเคลื่อนไหวใหญ่จุดชี้วัดก็จะอยู่หลังวันโหวตเลือกนายกฯ รอบสองที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ เรียกได้ว่า เป็นเดิมพันสูงสำหรับอนาคตของประเทศกันเลยทีเดียว เมื่อเลือกที่จะเดินเข้าสู่อำนาจกันด้วยวิธีนี้ ขณะเดียวกันก็ต้องจับตาดูการจับมือกันของ 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาลด้วยว่ายังเหนียวแน่นเหมือนเดิมหรือไม่

ด้วยคำประกาศยืนยันต่อสาธารณชนไปแล้ว ทั้งจากพรรคภูมิใจไทยของ อนุทิน ชาญวีรกูล และรวมไทยสร้างชาติที่ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กุมบังเหียนอยู่ ไม่สนับสนุนการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และจะไม่ทำอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า ถ้ามีการเสนอชื่อพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ชิงเก้าอี้นายกฯ มันจะต้องตกผลึกในเรื่องของเสียงฝ่ายตั้งรัฐบาลต้องไม่น้อยกว่า 250 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น จึงต้องเสนอกล้วยล่องูเห่าหรือไม่ต้องไปดึงพรรคหนึ่งพรรคใดจาก 8 พรรคร่วมมาเป็นพวกให้ได้

เมื่อเป็นเช่นนั้น พรรคที่ถูกจับตามองมากที่สุดหนีไม่พ้นเพื่อไทย เพราะถือเป็นพรรคที่สามารถชี้ขาดเสียงในสภาได้ แต่ด้วยเงื่อนไขที่ว่าการเปลี่ยนขั้วหนนี้แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคจะไม่ได้รับการเสนอชื่อ ด้วยข้ออ้างยากที่จะขอความเห็นชอบจากพวกลากตั้ง พ่วงด้วยคำขู่ถ้าไม่เซย์เยสสิ่งที่จะตามมาคือการถูกเล่นงานของแคนดิเดตนายกฯ รวมไปถึงการยุบพรรค เรียกได้ว่าบีบกันหน้าเขียว ซึ่งนายใหญ่ของพรรคต้องชั่งน้ำหนักว่าหากตัดสินใจหักหลังเพื่อนแล้วได้คุ้มเสียหรือไม่

คำสัมภาษณ์ของ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ถือเป็นโจทย์สำคัญที่ 8 พรรคร่วมต้องช่วยกันขบคิดจะหาทางแก้ปัญหาทางการเมืองที่เจอจากกับดักของพวกอยู่ยาวกันอย่างไร เพราะการเสนอชื่อแข่งก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายมั่นใจในเสียงโหวต ถ้าเป็นแบบนั้นจริงสิ่งที่หมอชลน่านห่วงก็คือ จะไม่ใช่งูเห่าอย่างเดียวแล้ว เพราะงูเห่าอย่างเดียวไม่พอ แต่มันต้องใช้อย่างอื่นซึ่งมันจะทำลายระบบการเมืองย่อยยับ วงจรอุบาทว์จะกลับมา

เมื่อโจทย์การเมืองเป็นเช่นนี้ แนวทางที่จะทำให้ 8 พรรคร่วมหากยังยืนยันที่จะผลักดันพิธาไปถึงเป้าหมายด้วย 376 เสียงในสภา เสียงที่ขาดหายไปจากการลงคะแนนรอบแรก 52 เสียงนั้น เมื่อไปดูในส่วนของผู้งดออกเสียงแล้ว เป็นส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา และพรรคเล็กที่รวมกันแล้วมีอยู่ 40 เสียง ตรงนี้อาจจะต้องเกิดการเจรจาเพื่อให้พรรคเหล่านั้นมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีรัฐบาลซึ่งมาจากตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง

จุดสำคัญของการเปิดโต๊ะเจรจาอยู่ที่ท่าทีของพรรคแกนนำ หากยังคงยืนยันแก้ไขมาตรา 112 น่าจะยากที่จะได้รับการสนับสนุน เหมือนกับการปิดประตูตายที่จะพูดคุยกันไปโดยปริยาย ถึงจุดนี้ก็มีความเป็นไปได้ท้ายที่สุด พิธาและพรรคพวกอาจต้องยอมรับสภาพผู้ชนะเป็นฝ่ายค้าน และต้องไปเผชิญกับ “นิติสงคราม” เหมือนการฉายหนังซ้ำเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับอนาคตใหม่ แต่แนวทางนี้ก็ต้องดูการตัดสินใจของเพื่อไทยด้วยว่า จะยอมแลกอนาคตพรรคสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า เพียงเพื่อได้เข้าไปบริหารประเทศอย่างนั้นหรือ

ที่มองข้ามไม่ได้จากผลการโหวตรอบแรกคือเสียงของ ส.ว.ที่เคยประกาศว่าจะยกมือหนุนพิธา แล้วไม่มาตามนัด คือภาพสะท้อนของความมีอยู่จริงต่อสิ่งที่มีการโพสต์ผ่านไลน์กลุ่มของพวกลากตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ เสนอผลประโยชน์สารพัด น้ำหนักน่าจะไปอยู่ที่อย่างหลังมากกว่า เพราะขบวนการสืบทอดอำนาจไม่ได้ใช้แค่กลไกข้อกฎหมายที่ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา และองคาพยพที่ต้องตอบแทนบุญคุณเพียงอย่างเดียว กลุ่มทุนที่ได้รับอานิสงส์มหาศาลจากการคงอยู่ของอำนาจเผด็จการก็ทุ่มเต็มที่เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน 

มิเช่นนั้น คงไม่มีพวกสมองอยู่ที่ปากออกมาพูดถึงการแจกกล้วยซื้องูเห่าหัวละ 100 ล้านบาท แสดงว่ามีพวกพร้อมที่จะจ่ายเพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่ไม่ถูกรุกล้ำจากการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ การสุมหัวสมคบกันหนนี้โดยใช้สารพัดกลไกที่ควบคุมได้อาจจะทำให้พวกอยากอยู่ยาวสมหวัง แต่จะได้ไปต่อกันแบบยาว ๆ หรือไม่ เป็นเครื่องหมายคำถามตัวโต โดยเฉพาะกับภาคเอกชนที่ทำธุรกิจกันแบบโปร่งใส มีความกังวลกันเป็นอย่างมาก การก่อเกิดของรัฐบาลที่ไม่ได้รับฉันทามติจากประชาชน มันจะเป็นบ่อเกิดแห่งความไม่สงบและความรุนแรงได้ 

ส่วนประเด็นที่พรรคก้าวไกลยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. ทั้งที่ยังต้องเดินสายขอคะแนนเสียงจากพวกลากตั้งอยู่ นั่นสะท้อนให้เห็นว่า โหวตรอบสองถ้าไร้คู่แข่งยังไงก็ไม่ผ่าน และยิ่งถ้ามีคู่แข่งมีโอกาสที่จะเกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย รู้ทั้งรู้ ว่าการยื่นแก้แบบนี้ก็คือการทำลายคะแนนของตัวเอง แถมยังมองเห็นว่าไม่มีโอกาสที่จะแก้ได้ จากเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญที่ว่าในวาระ 1 และ 3 ต้องมีเสียง ส.ว.หนุนอย่างน้อย 84 เสียงแค่นี้ก็จบตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว แต่ก้าวไกลยังยื่นก็หมายความว่างานนี้ไม่ได้หวังว่าจะได้แก้ แต่น่าจะเป็นการยื่นเพื่ออภิปรายถลกหนังเผยธาตุแท้พวกลากตั้ง ก่อนจะมีม็อบใหญ่ตามมาเสียมากกว่า

Back to top button