พาราสาวะถี
รูปรอยวังวนการเมืองโสมมแบบเผด็จการกำลังวนกลับมาอีกรอบว่าด้วย “งูเห่าเต็มฟาร์ม กล้วยเต็มสวน” ดังที่ ภูมิธรรม พรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์ล่าสุด
รูปรอยวังวนการเมืองโสมมแบบเผด็จการสืบทอดอำนาจกำลังวนกลับมาอีกรอบว่าด้วย “งูเห่าเต็มฟาร์ม กล้วยเต็มสวน” ดังที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ล่าสุด ส.ส.ของพรรค และพรรคก้าวไกลถูกคนใหญ่คนโตของฝ่ายตรงข้ามเรียกไปคุยกว่า 60 คน พวกเสือหิวย่อมไม่สนใจหลักการอะไรอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือเงื่อนไขที่ถูกเสนอไม่ได้ให้มาโหวตตอนเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ช่วยการันตีเสถียรภาพของรัฐบาลเสียงข้างน้อยหลังจากหน้าด้านตั้งกันเสร็จไปแล้วต่างหาก
อย่างที่เห็นการประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกฯ รอบแรก ยังไง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ไม่สามารถฝ่าด่าน 376 เสียงตามกลไกของรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจไปได้ เมื่อพิจารณาซีกของฝ่ายงดออกเสียงและไม่สนับสนุนก็พบว่า ถ้ามีการเสนอชื่อใครแข่งก็จะสามารถเข้าป้ายได้สบาย ๆ ดังนั้น ข่าวที่ตีคู่กันมาก่อนจะนัดโหวตรอบสองในวันพุธนี้ พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. จะถูกชูให้เป็นคู่แข่งกับพิธา ถ้าหากพวกลากตั้งยึดตามที่ประกาศกันไปว่าจะปิดสวิตช์ตัวเองด้วยการงดออกเสียง ก็จะไม่มีใครเป็นผู้ชนะ
แต่หากกลืนน้ำลายตัวเอง กลับคำพูด ไม่ต้องบอกว่าใครจะได้รับเลือก ด้วยเหตุนี้ข่าวที่ว่านัดคุยพวกเสือหิวกว่า 60 คนจึงไม่ใช่ข่าวโคมลอย มีมูลความจริงมากกว่าเป็นเรื่องเท็จ มันก็สอดคล้องกับสิ่งที่ ส.ว.คนปากสว่างให้ข่าวไปก่อนหน้าจะมีการทุ่มทุนสร้างซื้องูเห่ากันหัวละร้อยล้านบาท ซึ่งพวกนายทุนใหญ่ที่ได้รับประโยชน์จากการอยู่ในอำนาจขอพวกอยู่ยาวก็พร้อมที่จะทุ่มให้เต็มที่อยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาขวางทางการสวาปามอย่างตะกละตะกลามของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เค้าลางทางการเมืองที่จะเกิดการขยับภายใน 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาลก็เริ่มปรากฏให้เห็น หลังจากพิธาวางทางถอย โดยมี 2 เงื่อนไขคือ โหวตนายกฯ รอบสองแล้วตัวเองยังไม่ผ่านด่านหิน และเรื่องที่ก้าวไกลเข้าชื่อเสนอปิดสวิตช์ ส.ว.ได้รับการปฏิเสธ พร้อมที่จะเปิดทางให้เพื่อไทยเสนอแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคให้ที่ประชุมรัฐสภาเลือก หากเป็นไปตามนี้หมายความว่าสูตรตั้งรัฐบาลก็จะมีพรรคเติมเข้ามา โดยที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่ภูมิใจไทย
ไม่ต้องไปยึดโยงเอาคำพูดของพิธาหรือท่าทีของก้าวไกล รวมไปถึงคำประกาศของ อนุทิน ชาญวีรกูล และแถลงการณ์ของพรรคภูมิใจไทยเรื่องมาตรา 112 เพราะการเมืองอย่ายึดอะไรเป็นหลัก ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด ด้วยเหตุผลง่าย ๆ เลือกบ้านเมืองให้ประเทศเดินหน้า ถ้าเป็นสูตรนี้ก็หมายความว่า พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ก็จะไปเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับรวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ และพรรคเล็กพรรคน้อยอื่น ๆ
กรณีนี้จะถือเป็นการปิดสวิตช์ ส.ว.ไปโดยปริยาย ไม่ต้องงอนง้อขอเสียงสนับสนุน แต่คำถามที่จะตามมาคือจะเกิดการต่อรองเรื่องตำแหน่งกันอุตลุดเลยหรือไม่ ภายในสถานการณ์ที่ต้องให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ ฝ่ายเจรจาก็ต้องตกลงกันให้สมน้ำสมเนื้อ เงื่อนไขที่เป็นไปได้คือ เพื่อไทยคุมกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญทั้งหมด ก้าวไกลดูเรื่องความมั่นคงและสังคม ส่วนภูมิใจไทยขอกลับไปสานต่องานเดิมเรื่องกัญชาที่กระทรวงสาธารณสุข ส่วนที่คมนาคมถ้าไม่ได้ว่าการก็ขอรัฐมนตรีช่วยก็ยังดี
เงื่อนไขเช่นนี้ถามว่าก้าวไกลซึ่งชูประเด็นจะนำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดจะยอมได้อย่างนั้นหรือ มันก็คือการพบกันครึ่งทาง เช่นเดียวกันกับที่ภูมิใจไทยไม่เห็นด้วยต่อการแก้ไขมาตรา 112 โดยโยนให้ไปเป็นเรื่องฝ่ายนิติบัญญัติคือ ให้ไปนำเสนอกันผ่านสภาฯ แล้วให้ที่ประชุมเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งร่างกฎหมายทั้งหมดก็ต้องผ่านกระบวนการรวมถกจากฝั่งวุฒิสภาด้วย มองจุดนี้ทางการเมืองทั้งสองพรรคโดยเฉพาะก้าวไกลก็ถือว่าไม่ได้ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับด้อมส้มทั้งหลายแต่อย่างใด
การจับมือทางการเมืองด้วยสูตรนี้ สิ่งที่จะตามมาคือการถูกรุกคืบในประเด็นยุบพรรคทั้งก้าวไกลและเพื่อไทย โดยพรรคของพิธานั้นมีเรื่องคาอยู่ในศาลอยู่แล้ว ทั้งกรณีหุ้นไอทีวีที่อยู่ระหว่างกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ กับกรณีการชูนโยบายแก้ไขมาตรา 112 เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องพิจารณาไว้แล้ว ทั้งสองกรณีสามารถนำไปสู่การยุบพรรคได้ทั้งสิ้น
ส่วนเพื่อไทยอย่าลืมว่าตั้งแต่โหมโรงก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง มีนักร้องไปยื่นให้ กกต.ดำเนินการหลายกรณี ที่ตีตกไปนั่นก็ส่วนหนึ่ง ยังเหลือเรื่องค้างอยู่อีกก็หลายประเด็น อยู่ที่ว่าจะหยิบยกมาพิจารณาเมื่อไหร่เท่านั้น เมื่อสูตรการเมืองไม่เป็นไปตามที่ขบวนการสืบทอดอำนาจต้องการ ความเป็นไปได้ของสองพรรคแกนนำตั้งรัฐบาลที่จะถูกเล่นงานย่อมมีสูงตามมาด้วย แต่สูตรนี้การถูกยุบก็จะไม่เป็นปัญหาเรื่องงูเห่า และกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
เนื่องจาก ส.ส.ของทั้งสองพรรคก็จะไปหาพรรคใหม่ที่มีการจัดเตรียมกันไว้หมดแล้วเข้าสังกัด อาจจะมีบ้างที่รั่วไหลไปพรรคอื่น แต่คงหนีไม่พ้นในซีกเดียวกันอย่างภูมิใจไทยด้วยข้อเสนอที่ยากปฏิเสธ เมื่อถึงเวลานั้นก็ต้องดูด้วยว่าอำนาจ บารมีของใครจะเหนือกว่ากัน หากคนที่เป็นรัฐมนตรีคุมกระทรวงใหญ่ไม่โดนหางเลขเรื่องคุณสมบัติไปด้วย โอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนสีเสื้อก็เป็นไปได้ยาก การเมืองสูตรนี้ปัญหาจะเกิดอย่างเดียวคือ ความไม่ลงรอยเรื่องการแบ่งเค้กในแต่ละกระทรวงที่มีรัฐมนตรีต่างพรรคอยู่ด้วยกันเท่านั้น
แต่กว่าจะไปจุดนั้นต้องจับตาดูการโหวตเลือกนายกฯ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ก่อน ผลลัพธ์จะออกมาแบบไหน หากมีการเสนอชื่อพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ทุกอย่างก็จบ เพียงแต่ว่าจะจบแบบการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือมีพรรคจาก 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาลมาสมทบ โดยจะไม่ได้มีเพียงแค่เพื่อไทยเท่านั้นที่แยกตัวออกมา เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาว่าหักหลังเพื่อน จะมีพรรคเล็กอย่างน้อย 2-3 พรรคตามมาด้วย
แต่ก่อนจะโหวตนายกฯ รอบสอง พิธาก็ต้องเจอปัญหาสองเด้ง เด้งแรกพวกลากตั้งจะเล่นแง่ว่าสามารถเสนอชื่อพิธาได้อีกหรือไม่ โดยอ้างข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อที่ 41 ที่ว่าญัตติใดที่พิจารณาไปแล้วไม่ได้รับความเห็นชอบ ห้ามเสนอซ้ำอีกในสมัยประชุมนั้น กรณีนี้อยู่ที่ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาจะเป็นผู้วินิจฉัย อีกเด้งคือ ศาลรัฐธรรมนูญนัดถกปม กกต.ร้องพิธาถือหุ้นไอทีวี ต้องลุ้นว่าจะมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ อาจเป็นไปได้ว่าโหวตนายกฯ หนนี้จะมีบทสรุป แต่จะจบแบบไหนนั่นก็อีกเรื่อง