SET ยังถูกกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นหลัก

เงินเฟ้อผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือน มิ.ย. ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดจาก 1.ฐานปีที่แล้วที่สูง 2.การลดลงมากของราคาเชื้อเพลิง และ 3.การชะลอตัวของเศรษฐกิจ


InnovestX มองว่า เงินเฟ้อผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือน มิ.ย. ขยายตัว ต่ำกว่าที่คาดจาก (1) ฐานปีที่แล้วที่สูง (2) การลดลงมากของราคาเชื้อเพลิง และ (3) การชะลอตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมที่ทำให้ดัชนีเงินเฟ้อทุกตัวลดลง รวมถึงเงินเฟ้อจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้านที่ชะลอลง และทำให้เงินเฟ้อผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ชะลอลงต่อเนื่องเช่นกัน 

จากการวิเคราะห์องค์ประกอบของเงินเฟ้อสหรัฐฯ (Contribution to CPI Inflation) InnovestX พบประเด็นน่าสนใจ 3 ประเด็น คือ (1) องค์ประกอบสำคัญที่เคยเป็นตัวผลักดันเงินเฟ้ออย่างอาหารและการเดินทาง ไม่ได้มีส่วนทำให้เกิดเงินเฟ้อแล้ว (ขยายตัว 0.0%) (2) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้าน เป็นส่วนให้เงินเฟ้อขยายตัวกว่า 2.8% และมีน้ำหนักกว่า 93% ของเงินเฟ้อ Headline CPI (3) องค์ประกอบอื่น ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับค่าจ้าง เป็นองค์ประกอบประมาณ 0.3% (ในเงินเฟ้อที่ 3.0%) 

ขณะที่องค์ประกอบอื่น ๆ เป็นลบเล็กน้อย ทำให้ InnovestX คาดการณ์ว่า เงินเฟ้อในระยะต่อไป อาจไม่สามารถลดลงได้อีกมากนักจาก (1) ราคาบ้านปัจจุบันเริ่มหดตัวแล้ว ขณะที่ความต้องการบ้านน่าจะยังมีต่อเนื่อง (Real Demand) (2) ราคาโภคภัณฑ์โดยเฉพาะน้ำมันไม่เปลี่ยนแปลงมากจากปัจจุบันจากความต้องการที่ลดลง และ (3) เงินเฟ้อจากค่าจ้างมีทิศทางทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย ทำให้ InnovestX คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้จะคงอยู่ที่ประมาณ 3% ไปจนถึงสิ้นปีนี้ ด้วยเงินเฟ้อที่ชะลอตัวกว่าคาด แต่จะคงอยู่ในระดับนี้ไปจนถึงสิ้นปี ขณะที่ Fed ส่งสัญญาณแรงกล้าว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อ ทำให้ InnovestX ปรับประมาณการว่าดอกเบี้ยจะขึ้นอีก 1 ครั้งในปีนี้ และคงไปจนถึงเดือน พ.ย. ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวกมากขึ้น กดดันเศรษฐกิจในระยะต่อไป

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น InnovestX มองว่า SET ยังถูกกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นหลัก ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในระดับหนึ่ง และคาดหวังนโยบายการเงินอาจไม่ตึงตัวมากขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้ 

1) หุ้นที่คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 จะยังเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เลือก BBL, ADVANC, OSP, BDMS และ BEM 

2) หุ้นพื้นฐานดีซึ่งคาดยังมีศักยภาพจ่ายเงินปันผลสูง โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2023 มากกว่าปีละ 5% เลือก TISCO, LH, PTT 

3) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำหุ้นเก็งกำไร หากประเด็นการเมืองในไทยเปลี่ยนแปลง เลือก GULF, GPSC, CPALL, SIRI และ SC 

4) หาก SET ปรับลงมาแถว 1,450 จุด มองเป็นโอกาสซื้อหุ้นที่ราคาปรับลงลึกจนซื้อขายด้วย PER และ PBV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -1SD เลือก CRC, SCGP, OR 

ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มอาหาร (TU, CPF, GFPT, BTG) หลังมองมีโอกาสที่ตลาดจะปรับลดคาดการณ์กำไรลงหลังประกาศงบไตรมาส 2/66 ซึ่งคาดภาพรวมอ่อนทั้งเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ จากไตรมาสก่อน 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญจากกำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง  ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC, SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF, GFPT) และ 3) หุ้นท่องเที่ยวที่อาจได้รับผลกระทบลบจากกังวลประเด็นการเมืองในประเทศ

Back to top button