บัวตูม หรือ บัวบานแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
5 มกราคม 2559 บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ BEM บริษัทน้องใหม่ล่าสุดของวงการหุ้นจะเริ่มเทรดวันแรกเป็นปฐมฤกษ์ เลื่อนช้าจากกำหนดเดิม 1 วัน
5 มกราคม 2559 บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ BEM บริษัทน้องใหม่ล่าสุดของวงการหุ้นจะเริ่มเทรดวันแรกเป็นปฐมฤกษ์ เลื่อนช้าจากกำหนดเดิม 1 วัน
น้องใหม่รายนี้ ไม่ใช่หน้าใหม่สดๆ ซิงๆ แต่เป็นบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการของ 2 บริษัทจดทะเบียนเดิมในเครือ ช. การช่าง เพื่อปรับยุทธศาสตร์ธุรกิจใหม่ให้สอดรับอนาคต
บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL เป็นบริษัทรับสัมปทานบริหารทางด่วนจากรัฐวิสาหกิจ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย มีกำไรดีมาตลอดเป็น “วัวที่ให้น้ำนมเป็นทอง” (cash cow) แต่ไม่หวือหวา แถมทำท่าถดถอยลงในอนาคต
บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL เป็นบริษัทรับสัมปทานบริหารเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนต่อจากการรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) ในรูปแบบเอกชนรับจ้างเดินรถ (PPP Gross cost) มีตัวเลขขาดทุนจากการดำเนินมาตลอดยังไม่มีกำไร แต่มีอนาคต เพราะยังมีสัมปทานใหม่เพิ่มขึ้นในรูปแบบที่มีโอกาสเปลี่ยนสัมปทานแบบเอกชนร่วมลงทุน (PPP Net cost) ซึ่งจะใช้รูปแบบ Revenue sharing กับรฟม. โดยมีสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินรออยู่ในมือ(แต่ยังไม่ได้เซ็นเป็นทางการ) และรอประมูลสายอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีเหลือง และสายสีชมพู
การควบรวมกิจการที่กำไรดี แต่อนาคตเริ่มแผ่ว รวมกับกิจการที่ยังอาการป่วยกระเสาะกระแสะ ต้องเลี้ยงต้อยกันต่ออีกหลายปี แต่รอวันเปล่งประกายเป็นสาวสวยระดับนางงามจักรวาล ถือเป็นกลยุทธ์ควบรวมที่เรียกว่า Amalgamation คือพื้นฐานความแข็งแกร่งและราคาหุ้นไม่เท่ากัน ต้องมีการปรับระดับราคาในการควบรวมเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัท
ในระดับของผู้ถือหุ้นนั้น การควบรวมผ่านขั้นตอนมาฉลุยทุกขั้นซึ่งกินเวลามากว่าปีเศษแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ผู้ถือหุ้นเข้าใจดี นักวิเคราะห์ก็เชียร์กันจังว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้
ขนาดที่ดีน้อยสุดคือ ควบรวมเสร็จจ่ายปันผลทันทีปลอบใจ ก็ยังถือว่าดีมากแล้ว (อย่าถามนะว่าจ่ายกี่สตางค์) ส่วนเรื่องดีอื่น มีจนจาระนัยเป็นวาๆ ไม่ไหว
ปัญหามันอยู่ที่เป็นบริษัทสัมปทานนี่แหละ เพราะการเปลี่ยนชื่อบริษัท อาจจะส่งผลทางกฎหมายให้หลุดสัมปทานได้ง่ายมาก หากตีความตามลายลักษณ์อักษร
ปัญหาเรื่องชื่อนี้ เลยทำให้ทุกอย่างล่าช้าไปนานหลายเดือน เพราะถึงขนาดต้องให้คณะรัฐมนตรีตัดสินใจกันเลยทีเดียว ต่ำกว่าระดับนั้น….ไม่ได้เลย
หลังจากการรอคอยอันแสนนาน…วันที่8 ธันวาคมที่ผ่านมา ก็ได้ฤกษ์ดีเข้าครม.พิจารณา
ว่ากันว่าบิ๊กตู่ที่นั่งหัวโต๊ะครม. แม้ภาพลักษณ์จะขี้โมโหโวยวายเก่ง แต่เรื่องเปลี่ยนชื่อเพื่อควบรวมนี่ ไม่มีพลาด ไม่มีโมโห… ผ่านฉลุย มีมติให้เสธ.ไก่อูมาอ่านผลการประชุมเรียบร้อยว่า บริษัทน้องใหม่ BEM ไม่มีการ “แท้งก่อนคลอด“ แน่นอน
มติครม.บอกว่า มีเรื่องพิจารณา2 เรื่องพร้อมกันคือ การโอนสัญญาสัมปทาน และการแก้ไขสัญญา มีองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ
– ข้อกฎหมาย ผิดหรือไม่
– รัฐเสียประโยชน์หรือได้ประโยชน์จากการควบรวม
– ประชาชนได้ประโยชน์อะไรจากการควบรวมนี้ จะได้รับการดูแลดีเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิม
คำตอบสำหรับคำถามแรก คนตอบคือคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจเดิมของทั้งสองบริษัทได้เข้าไปถือหุ้นอยู่ใน 2 บริษัทเดิมได้เข้าไปตรวจสอบแล้ว พบว่า ไม่มีผลกระทบในข้อกฎหมาย…ผ่านนนน
ข้อสอง คณะกรรมการกำกับกิจการร่วมลงทุน และอัยการ ก็ให้ความเห็นชอบตรงกันว่า การควบรวมบริษัทแบบนี้ไม่ได้มีผลกระทบในความเสียหายต่อรัฐและต่อผลประโยชน์…ผ่านอีกข้อ
ในข้อนี้ เสธ.ไก่อู แถมพ่วงโดยไม่มีคำถามให้อีกว่า…ส่วนทางเศรษฐกิจได้ข้อสรุปว่าการควบรวมกิจการดังกล่าว ทำให้บริษัทมีความเข้มแข็งทางธุรกิจ ซึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จะอาศัยแค่งบประมาณแผ่นดินเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ภาคเอกชนจะต้องมีความเข้มแข็งด้วยเช่นกัน….ถือว่าส่งผลดีในแง่ของการสนับสนุนส่งเสริมให้กิจการต่างๆ ในประเทศมีความเข้มแข็งไปด้วย การจะไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน CLMV หรือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่บริษัทเอกชนในประเทศของเรามีความเข้มแข็งมากขึ้น ทำให้การจ้างงานภายในประเทศ การเชื่อมต่อกับภาคธุรกิจ SME มีความแข็งแกร่งขึ้นด้วย…เล่นเอา เสี่ย ปลิว ตรีวิศวเวทย์ ตัวลอยทีเดียว
ข้อสุดท้าย…ครม.สรุปง่ายๆ สั้นๆ เลยว่า แฟร์แล้ว…ประชาชนจะยังได้รับการดูแลดีเท่าเดิม เพราะจะเป็นการบริหารสัญญาตามหลักเกณฑ์เดิม แม้ว่าอัตราสัดส่วนในบริษัทใหม่ของทั้ง BECL และ BMCL จะลดลง รวมถึงผู้ถือหุ้นหรือรัฐวิสาหกิจที่ถือหุ้นสัดส่วนจะลดลง แต่หากนำสัดส่วนของ BECL และ BMCL มารวมกันก็จะยังเป็นสัดส่วนเท่าเดิม…ผ่านอีก…เอวัง
มติที่ผ่านครม.ฉลุยนี้ เขาว่ากันว่า มีแต่เสี่ยปลิวเท่านั้นที่สามารถทำให้เป็นจริงได้ ส่วนทำอย่างไร…ไม่ขอบอก ปล่อยให้งง
แน่นอน มติอย่างนี้ ทำให้หุ้นของ BMCL วิ่งกระฉูดติดต่อกันหลายวัน ยิ่งกว่าโด๊ปไวอากร้า เพราะกองเชียร์ท่วมท้นตลอดสองข้างทาง และโดยเฉพาะตรงมุมน้ำเงิน…มีแต่คนต่อ หาคนรองยากจริงๆ
คำถามก็คือ สำหรับคนที่คิดจะถือหุ้นที่กำหนดไว้ 21ธันวาคม จะถือหุ้นตัวไหนดี กลายเป็นหัวข้อใหม่ ที่วนเวียนกลับมาอีกครั้ง เพราะเวลาเหลือน้อยเต็มที ระหว่างหุ้น BECL ที่ระดับ 40 บาทกับหุ้น BMCL ที่ระดับ 2 บาท …ไหนเจ๋งกว่ากัน
ประเด็นก็ต้องพึ่งนักคณิตศาสตร์ เพราะหุ้นใหม่ BEM คาดว่าราคาเหมาะสมน่าจะ 4.50-5.00 บาท หุ้นเก่าที่ถือไว้จะเอาไปแลกอย่างไหนจะคุ้ม
งานนี้ ไม่ยากเหมือนเพลงบัวตูมบัวบาน แน่นอน เพียงแต่ต้องไวหน่อย เพราะวันศุกร์ที่ 18 ธันวาคมนี้ เทรดกันวันสุดท้ายแล้ว
ดูจากทางน้ำหนักแรงเชียร์…อย่างเดียว อาจจะผิดหรือถูกไม่รู้ได้ เอียงไปข้างให้ซื้อ BMCL มากกว่า โดยส่วนใหญ่แนะให้ซื้อที่จุดเก็บปลอดภัยความเสี่ยงต่ำที่ 1.79-1.84 บาท… อ้าว ก็เกินความปลอดภัยแล้วละสิ…
มีบางสำนัก ที่เกรงใจผู้ถือหุ้นใหญ่มากหรือยังไงไม่ทราบ แทงกั๊กกันง่ายๆ บอกว่า…เหมาะสำหรับเข้าซื้อลงทุนทั้งคู่เหตุผลท้ายสุดก็ลงเอยที่ BEM เหมือนกัน
สำหรับคนเสมอนอก ถ้าให้ปลอดภัย ซื้อเมื่อหลังวันที่5 มกราคมเป็นต้นไป ก็ชัวร์…ไม่มั่วนิ่ม ไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยตอนข้ามปี
เพราะบทเรียนเก่าๆ แต่ครั้ง PTTCH ควบรวมกับ PTTAR กลายเป็น PTTGC ในช่วงแรกๆ…ไม่น่าจะหลงลืมกัน…
ยกเว้นคิดจะเป็นวีไอ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง