SCC รัดเข็มขัด หดเป้ายอดขาย

ผู้บริหาร บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี ตัดสินใจ “รัดเข็มขัด” หั่นงบลงทุนปี 2566 ลงเหลือ 4 หมื่นล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ 5 หมื่นล้านบาท


เส้นทางนักลงทุน

การตัดสินใจ “รัดเข็มขัด” ของคณะผู้บริหาร บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี โดยหั่นงบลงทุนของปี 2566 นี้ลงเหลือแค่ 4 หมื่นล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ 5 หมื่นล้านบาท สะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อสถานการณ์ทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความท้าทายสูง

ความกังวลนี้มีสาเหตุมาจากความเสี่ยงกรณีการจัดตั้งรัฐบาลที่มีความล่าช้าจะส่งผลให้โครงการลงทุนของภาครัฐและเอกชนสำหรับโครงการลงทุนใหม่ ๆ จะมีความล่าช้าไปมากหรืออาจจะไม่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% มาที่ 5.25-5.50% เป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 11 จากการประชุม 12 ครั้งของเฟดในปีนี้ รวมทั้งยังไม่ปิดประตูแผนการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ชี้ว่าการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อยังคงมีอยู่

ตลอดจนยังมีความกังวลความเสี่ยงเกี่ยวกับปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” จะทำให้เกิดภัยแล้งยาวนานจากปีนี้ไปจนถึงสิ้นปีหน้า จะกระทบต่อภาคเกษตรและอาหาร แม้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว ดังนั้นในมุมของภาคธุรกิจจึงต้องมีความระมัดระวังและเข้มงวดค่อนข้างมาก

ตามแผนการลงทุนเดิมในปีนี้ SCC จะแบ่งสัดส่วนการลงทุนออกเป็น โครงการปิโตรเลียมวงจร LSP ที่เวียดนาม ประมาณ 50% และที่เหลืออีกราว 50% ใช้สำหรับโครงการอื่น ๆ ที่จำเป็น เมื่อมีการรัดเข็มขัด การลงทุนหลักจะทุ่มไปที่โครงการปิโตรเลียมวงจร LSP, การลงทุนเรื่องพลังงานสะอาด และโครงการที่จะช่วยลดต้นทุน เท่านั้น

สิ่งที่สะท้อนความกังวลต่อความเสี่ยงมากที่สุดคือ ผู้บริหาร SCC ได้ปรับเปลี่ยนคาดการณ์เป้ายอดขายของปีนี้ใหม่จากที่เคยวางไว้จะเติบโตระดับ 10% เป็นน่าจะต่ำกว่าปี 2565 ที่ผ่านมา มองว่าตลาดภูมิภาคหดตัวลง ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุการก่อสร้าง บางประเทศหดตัวไปกว่า 10-20% ซึ่งจะมีผลกระทบพอสมควร รวมถึงราคาของผลิตภัณฑ์เคมีคอลส์ ที่ลดลงกว่า 10-20% เมื่อเทียบจากราคาเมื่อปีก่อน

งวดไตรมาส 2 ปี 2566 SCC มีรายได้จากการขาย 124,631 ล้านบาท ลดลง 3% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 18% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยธุรกิจแพ็กเกจจิ้งมีรายได้จากการขายลดลง ในขณะที่ธุรกิจเคมีคอลส์มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8,082 ล้านบาท ลดลง 51% จากไตรมาสก่อน และลดลง 19% จากปีก่อน เนื่องจากไตรมาสแรกมีการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logestic จากธุรกิจ SCGJWD Logestic และในไตรมาสนี้มีการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในบริษัท NocNoc.com อีกประมาณ 2,860 ล้านบาท ขณะที่เป็นกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 5,200 ล้านบาท มีกำไรไม่รวมรายการพิเศษเติบโตขึ้น 14% จากไตรมาสก่อน เป็นอานิสงส์ในเรื่องของต้นทุนพลังงานที่ลดลง และธุรกิจเคมีคอลส์สามารถเพิ่มปริมาณการขายได้

ในส่วนผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย. 2566) มีรายได้จากการขาย 253,379 ล้านบาท ลดลง 17% จากงวดปีก่อน สาเหตุหลักจากดีมานด์ที่อ่อนตัวลงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภูมิภาคอาเซียน ยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยมีกำไรสุทธิ 24,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากงวดเดียวกันปีก่อน ตามการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนไตรมาส 1-2 รวมกัน 1.4 หมื่นล้านบาท หากไม่นับรวมจะเป็นกำไรจากการดำเนินงาน 9,786 ล้านบาท ลดลง 49%

สำหรับสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ในครึ่งปีแรกมียอดขาย 86,411 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของรายได้จากการขายรวม และยอดขายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Choice) 137,258 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของรายได้จากการขายรวม

ปัจจุบันมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในประเทศ สัดส่วน 57% ที่เหลืออีก 43% เป็นรายได้จากต่างประเทศรวมการส่งออกจากประเทศไทย จำนวน 108,672 ล้านบาท และมีสินทรัพย์รวม 942,018 ล้านบาท อยู่ในประเทศไทย 55% และอีก 45% อยู่ในอาเซียน

SCC ยังไม่มั่นใจธุรกิจในประเทศไทยในช่วงที่เหลือของปี แม้จะมีภาคท่องเที่ยวมากระตุ้น ส่วนธุรกิจในต่างประเทศน่าจะปรับตัวดีขึ้นมาก ทั้งในเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยบมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ ส่วนบมจ.เอสซีจี เคมีคอลส์ (SCGC) น่าจะทรงตัวได้ นอกจากนี้ช่วงเดือน ส.ค-ก.ย. 2566 จะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัท เพื่อพิจารณาว่าจะเลื่อนหรือไม่เลื่อนการนำ SCGC ระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จากแผนเดิมจะไอพีโอประมาณช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 นี้

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ มองแนวโน้มกำไร SCC จะเป็น U-shape ค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในครึ่งหลังปีนี้ หวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีน ซึ่งน่าจะช่วยให้ spread ปิโตรเคมีทรงตัวอยู่ได้ ในขณะที่ยังเป็น over supply สำหรับธุรกิจซีเมนต์ เงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และน่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแถบภูมิภาคอาเซียนเพิ่มมากขึ้น

แต่ไตรมาส 3 อาจจะอ่อนตัวจากเข้าสู่ช่วงหน้าฝน ธุรกิจซีเมนต์อาจจะได้รับผลกระทบ, ไม่มีรายได้เงินปันผล และราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นเร็วอาจจะกดดันต่อ spread ปิโตรเคมี ส่วนทั้งปีนี้ประมาณการกำไรปกติที่ 2.6 หมื่นล้านบาท คงราคาเป้าหมายที่ 325 บาท อิง P/BV ที่ 1 เท่า คำแนะนำ “ถือ”

ดู ๆ แล้ว ปี 2566 นี้ ยังเป็นปีที่ท้าทายสำหรับ SCC ที่จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้

Back to top button