BGRIM สวย โบรกเกอร์รุมเชียร์
โบรกเกอร์มีคำแนะนำ “ซื้อ” BGRIM ให้ราคาเป้าหมายตั้งแต่ 43-50 บาท มองไตรมาส 2 ปี 2566 กำไรจะเติบโตโดดเด่นเกินคาดหมาย
เส้นทางนักลงทุน
บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เป็นหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่โบรกเกอร์มีคำแนะนำ “ซื้อ” เก็บเข้าพอร์ต ให้ราคาเป้าหมายตั้งแต่ 43-50 บาท มองไตรมาส 2 ปี 2566 กำไรจะเติบโตโดดเด่นเกินคาดหมาย
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินกำไรปกติไตรมาส 2 นี้ที่ 673 ล้านบาท เติบโตเมื่อเปรียบเทียบทั้งจากงวดเดียวกันปีก่อน (YoY) และไตรมาสก่อน (QoQ) หนุนจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 17.1% หลังต้นทุนก๊าซธรรมชาติปรับตัวลงต่อเนื่องตามราคา LNG ในตลาดโลก และปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยฟื้นตัว
รวมถึงคาดกำไรไตรมาส 3 ที่ระดับ 650-700 ล้านบาท เติบโตจาก YoY แต่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจาก QoQ เพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติปรับตัวลงและค่า Ft ที่สูงขึ้นเทียบ YoY
BGRIM ได้รับแรงกดดันนับตั้งแต่การประกาศผลการเลือกตั้งภายในประเทศ จากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายพลังงานของรัฐบาลใหม่ มองว่าหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวได้หนุนด้วยกำไรที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และการเกิด Recession Fear รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยการเมืองที่เริ่มคลายตัว แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 46.00 บาท/หุ้น
ด้านบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เห็นสอดคล้องกันว่า กำไรไตรมาส 2 มีแนวโน้มแข็งแกร่งเกินความคาดหมาย อยู่ที่ 605 ล้านบาท บวก 52% QoQ และพลิกฟื้นจาก YoY แต่หากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 680 ล้านบาท เติบโต 79% QoQ ดีขึ้นถึง 363% YoY
ทำให้กำไรจากธุรกิจหลักในงวดครึ่งแรกของปี 2566 อยู่ที่ 1.06 พันล้านบาท เติบโต 485% YoY คิดเป็น 69% ของประมาณการกำไรปี 2566 เพราะผลการดำเนินงานของ SPP แข็งแกร่งขึ้น จากราคาก๊าซลดลง ในขณะที่ค่า Ft สูงขึ้น
คาด GPM หรือกำไรขั้นต้นของ BGRIM จะพุ่งสูงขึ้นเป็น 2.7 พันล้านบาท เติบโต 17% QoQ และ 62% YoY โดยคาดว่า GPM จะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งเป็น 18.2% จาก 14.9% ในไตรมาส 1 และ 11.5% ในไตรมาส 2 ปีก่อน มีสาเหตุสำคัญที่ฟื้นตัวขึ้น YoY คือมีการขึ้นค่า Ft และราคาก๊าซของ SPP ลดลง บวกกับปริมาณยอดขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มขึ้นตามโครงการ replacement
ส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้น QoQ เพราะกำไรขั้นต้นแข็งแกร่งขึ้นตามมาร์จิ้น (margin) ที่เพิ่มขึ้นจากการขายไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรม (IUs) และปริมาณยอดขายไฟฟ้าให้กับกฟผ.ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายการขายและบริการ (SG&A) ลดลง
อย่างไรก็ตาม ปริมาณยอดขายไฟฟ้าให้กับ IUs ยังต่ำ เพราะมีวันหยุดมากในไตรมาส 2 ในขณะที่ไม่มีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามาสำหรับลูกค้า IUs จาก 12 เมกะวัตต์ (MW) ในไตรมาส 1 เมื่อเทียบกับเป้าหมายรวมในปี 2566 ที่ 50-60 MW
แนวโน้มในครึ่งปีหลัง กำไรจากธุรกิจหลักในไตรมาส 3 จะเป็นจุดสูงสุดในรอบปีนี้ เนื่องจากราคาก๊าซลดลงอย่างต่อเนื่องประมาณ 60-70 บาท QoQ แม้ว่าจะมีการปรับลดค่า Ft ลงก็ตาม คาดว่ากำไรในไตรมาส 4 จะกลับลดลงมา QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ที่ SG&A สูงขึ้น, มีการปิดซ่อมบำรุงตามแผน, อุปสงค์การใช้ไฟฟ้าลดลง และราคาก๊าซที่ขยับสูงขึ้น ทั้งนี้โครงการส่วนใหญ่ของ BGRIM ที่อยู่ในแผนของปีนี้ (pipeline) เช่น อู่ตะเภา เฟส 1, BGPAT2-3 และโครงการโซลาร์ (solar) 2 โครงการในมาเลเซีย มีกำหนดดำเนินการเชิงพานิชย์ (COD) ในไตรมาส 4 ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าว
มองว่ากำไรหลักปี 2566 มีอัพไซด์ (upside) จากการที่ margin ออกมาดีเกินคาด แต่ยังรอดูสถานการณ์ไปก่อน เพราะยังเป็นห่วงอุปสงค์จาก IUs และความล่าช้าในการเพิ่มลูกค้า IU ใหม่ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง คาดว่าอุปสงค์หลัก ๆ จะมาจากลูกค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โลหะ และยางรถยนต์
แนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 43 บาท เลือก BGRIM เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มสาธารณูปโภคในไตรมาส 3 ปีนี้ โมเมนตัมของราคาหุ้นจะได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่จะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และความกังวลที่คลี่คลายลงไป
สำหรับบล.ดาโอ (ประเทศไทย) มองกำไรปกติไตรมาส 2 ที่ 684 ล้านบาท เติบโต 366% YoY และ 81% QoQ มีปัจจัยหนุนหลักจากการลดลงของค่าก๊าซธรรมชาติมาที่ 400 บาท/MMBTU หรือลดลง 5% YoY และ 17% QoQ แม้ค่า Ft ในไตรมาสนี้ปรับลงมาที่ 0.91 บาท/หน่วย จาก 1.55 บาทต่อหน่วยในไตรมาส 1 ส่งผลให้ GPM คาดทำได้ 18% นอกจากนี้ยังรับรู้รายได้จากโครงการ ABP1-2R และ BGPM 1-2 กำลังการผลิตรวม 339 เมกะวัตต์ (Mwe) ทยอย COD เข้ามาเต็มไตรมาสช่วยหนุน
กำไรปกติปี 2566 ฟื้นตัวเด่นที่ 2.1 พันล้านบาท เติบโต 459% YoY โดยครึ่งแรกของปีนี้คิดเป็น 51% ของประมาณการดังกล่าว ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังจะทรงตัว เพราะไตรมาส 3 ไม่มีโครงการใหม่ ส่วนไตรมาส 4 ลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล แม้มีโครงการใหม่รอ COD (BGPAT2-3 196 Mwe, อู่ตะเภา 18 MWe) แต่จะเข้ามาช่วงปลายปี ประเมินไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะที่การปรับลดค่า Ft ลงในงวดก.ย.-ธ.ค. 2566 ตามการเปิดรับฟังความเห็นในปัจจุบันอัตราต่ำสุดจะอยู่ที่ -0.25 บาท/หน่วย มาที่ 0.66 บาท/หน่วย (ค่าไฟฟ้าโดยรวม -5% จากงวดปัจจุบัน) ส่วนแนวโน้มค่าก๊าซมีโอกาสลดไปที่ 350 บาท/MMBTU (-13% จากงวดปัจจุบัน) ประเมินยังทำให้ margin SPP ยังรักษาระดับเดียวกับครึ่งปีแรกได้ ให้ราคาเป้าหมาย 50 บาท
BGRIM จะแจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 ในวันที่ 15 ส.ค.นี้ ซึ่งผลงานจะเป็นเครื่องพิสูจน์