หุ้น PTT ให้รอซื้อที่ต่ำกว่า 30 บาท

ถึงแม้ว่าไตรมาสแรก PTT จะมีกำไรฟื้นตัวขึ้นมา แต่ไตรมาสที่ 2 นักวิเคราะห์ยังมองว่าราคาบนกระดานซื้อขาย 34-35 บาท น่าจะเป็นราคาที่สูงเกิน


ถึงแม้ว่าไตรมาสแรก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  หรือ PTT จะมีกำไรฟื้นตัวขึ้นมา แต่ไตรมาสที่ 2 นักวิเคราะห์ยังมองว่าราคาบนกระดานซื้อขาย 34-35 บาท น่าจะเป็นราคาที่สูงเกิน เนื่องจากกำไรสุทธิลดลงไปถึง 47% ของระยะเดียวกันกับปีก่อน และ 26% ของไตรมาสก่อน ทำให้คาดว่าราคาหุ้นน่าจะตกต่ำลงไปอีกที่ใต้ 30 บาท หรืออาจเลวร้ายตกไปถึง 28 บาท ทำให้ราคาต่ำสุดในรอบปลายปีนี้

แม้กระทั่งนักวิเคราะห์สายเชียร์ที่ยังตั้งเป้าหมายราคาที่ 41 บาท ก็ยังคงสงวนท่าทีให้รอซื้อที่ราคาต่ำลงไปกว่าปัจจุบันนี้อีก

ผลประกอบการไตรมาส 1 ของหุ้นกลุ่มปตท.ถือว่าดีขึ้นโดยภาพรวมเนื่องจาก PTTGC ที่เคยขาดทุนยับเมื่อปีก่อนกลับมาทำกำไรอีกครั้งแม้จะไม่มาก แต่ PTTEP ที่รับอานิสงส์จากการที่ราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติมีราคาสูงขึ้นก็ยังคงทำกำไรโดดเด่นแม้หุ้นโรงกลั่นน้ำมันกับปิโตรเคมีจะยังคงแย่อยู่ตลอดทั้งปีนี้

เพียงแต่แนวโน้มไตรมาส 2 และ 3 ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในเครือปตท.ก็ยังตกต่ำต่อไปฉุดกำไรของบริษัทในเครือทุกรายให้ร่วงลงมาจนกระทั่งฉายาที่เคยเรียกกันว่า “เด็กหัวดื้อทั้ง 5” ไม่อาจดำรงต่อไปได้

ปตท.และ 6 บมจ.ในเครือได้ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2566 พบว่ามีถึง 4 บริษัทที่มีผลกำไรสุทธิลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น และมีเพียง 3 บริษัทที่มีผลกำไรสุทธิเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เมื่อรวมกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2566 ของ ปตท.และ 6 บมจ.ในเครืออยู่ที่ 56,166 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.67% เมื่อเทียบจากช่วงไตรมาส 1/2565

นำทีมโดย บมจ.ปตท. (PTT) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 27,855 ล้านบาท โตขึ้น 12.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามมาด้วย บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิ 19,281 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) โชว์กำไรสุทธิ 1,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 257% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดย ปตท.มีรายได้จากการขายในไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 756,690 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากการขายลดลง ตามปริมาณขายของธุรกิจปิโตรเคมีที่ลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุง รวมทั้งราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลงรายได้ของกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศลดลง

ขณะที่กลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก และกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากปริมาณขายที่เพิ่มแม้ว่าราคาขายเฉลี่ยลดลง กลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยหลักจากการรับรู้ รายได้จากธุรกิจยาที่เพิ่มขึ้นจากบริษัท Lotus Pharmaceutical Company Limited และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) มีรายได้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก SPP ตามค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) และราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้น

แนวโน้มไตรมาส 2 ราคาหุ้นที่ระดับ 34-35 บาท ในกระดานซื้อขายถือว่าสูงเกินไปแม้เมื่อเทียบกับบุ๊กแวลูแถว ๆ 37บาท  น่าจะทำให้ราคากลับขึ้นไปได้เหนือบุ๊กแวลูได้ไม่ยาก เพียงแต่สถานการณ์โดยภาพรวมบ่งชี้ว่าราคาหุ้นในปัจจุบันจะยังคงต่ำลงไปอีก

เหตุผลคือสำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2/2566 ปตท. ส่อแววมีกำไรลดลง เนื่องจากราคาก๊าซฯ ลดลง ขณะที่ค่าการกลั่นในไตรมาส 2 นี้ก็อ่อนตัวลง มีผลกระทบต่อกำไรกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นรวมถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ส่วนธุรกิจน้ำมันยังได้อานิสงส์จากค่าการตลาดยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ปตท.คงเฝ้าติดตามปัจจัยเสี่ยงภายนอกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้พลังงานและปิโตรเคมีลดลง รวมไปถึงความผันผวนของราคาน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม ยังมีข่าวดีกลับคืนในระยะกลาง คือในปีนี้ ปตท.คาดว่าจะมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตลาดจร (Spot) ราว 100 ลำเรือหรือคิดเป็นปริมาณ 6 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีการนำเข้า LNG ประมาณ 53 ลำเรือคิดเป็น 3.3 ล้านตัน เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทำให้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อีกทั้งราคา Spot LNG ล่าสุดลดต่ำลงมาอยู่ที่ 9 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู จากปีก่อนที่เคยสูงถึง 40 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ซึ่ง กกพ.เห็นชอบในการจัดหานำเข้า LNG เพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า ทำให้ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) จ่อปรับลดลงในงวดสิ้นปีด้วย ขณะเดียวกันรับรู้กำไรจากธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นจากบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) เป็นต้น

นั้นก็หมายความว่าในระยะสั้น ราคาหุ้นของ PTT  จะต้องลงมาเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็ขึ้น

ได้ยาก การเข้าซื้อยามนี้จึงต้องถือคติ “รอได้ไม่ต้องรีบ” หรือ “ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม”

Back to top button