ลงแล้วขึ้น?
สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่การเมืองแบ่งข้างกันอย่างชัดเจน และมีม็อบ “กักขฬะ ถ่อยสถุน” ตามราวีคนที่เห็นต่างแบบไม่ลดละ
สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่การเมืองแบ่งข้างกันอย่างชัดเจน และมีม็อบ “กักขฬะ ถ่อยสถุน” ตามราวีคนที่เห็นต่างแบบไม่ลดละ มันเป็นภาพที่อุจาดสายตาชนิดที่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยเห็นมาก่อนแบบนี้ “โมนิก้า” เลยอยากตั้งคำถามว่า นี่มันเป็นประชาธิปไตยในแบบฉบับที่พรรคส้มถวิลหาใช่ไหม? เพราะดูเหมือนคนพวกนี้จะไม่เกรงกลัวกฎหมายแม้แต่นิดเดียวนะจะบอกให้
ที่น่าสนใจคือ ยิ่งมีการกระทำที่เป็นอันธพาลเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผู้คนหยิบยกเรื่อง “ตั๋วปารีส” ขึ้นมาก่นด่ามากขึ้นเท่านั้น และคนที่ตกเป็นจำเลยสังคมก็หนีไม่พ้น “เสี่ยนิค” ซึ่งถูกชี้เป้าว่าเป็นนายทุนที่จ่ายท่อน้ำเลี้ยงให้กับขบวนการล้ม 112 จึงถูกคนที่อยากรู้ความจริงเดินหน้าขุดคุ้ยมากขึ้นเป็นทวีคูณ และดูเหมือนคนที่เกี่ยวข้องยังไม่มีใครออกมาชี้แจงประเด็นร้อนอย่างชัดเจน สักตัว..อุ๊ย..สักคน นะจ๊ะ
งานนี้บอกได้ทันทีว่า เรื่องไหนที่ทำถูก..ก็ต้องให้ความเป็นธรรมอย่างเต็มที่ แต่เรื่องไหนที่ทำไม่ถูก..ก็ต้องตีแผ่เบื้องหลังให้เห็นหมดเปลือก “โมนิก้า” ถึงมองว่า การออกมาแฉพฤติกรรมของฝั่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นคราวนี้ มันทำให้สังคมได้ตื่นรู้มากขึ้นกว่าเดิมในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม สภาพการเมือง และสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้คนที่เรียนรู้ได้เร็ว สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้นะคะ
เหมือนกับการแกว่งตัวไปมาของดัชนีเมื่อไม่ผ่านแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,550 จุด ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 1,518.44 จุด ลบไป 14.07 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.10 หมื่นล้านบาท ก็เป็นภาพที่เดี๊ยนเคยย้ำหัวหมุดให้แฟนคลับฟังมาหลายรายว่า นี่เป็นการแกว่งตัวรอข่าวดีเข้ามาหนุน ทั้งในส่วนของความชัดเจนในการตั้งรัฐบาล และเรื่องของผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ออกมาดีขนาดไหน?..หากทั้ง 2 เรื่องออกมาดีทั้งคู่…ตลาดหุ้นก็ควรไปต่อนะตัวเอง!
ถึงกระนั้นต้องยอมรับความจริงที่ว่า ประเด็นดังกล่าวไม่สามารถใช้กับหุ้น CPALL เพราะแรงขายยังทยอยไหลออกมาไม่หยุดหย่อน จนราคาหุ้นหลุดจุดเด้งที่บริเวณ 60 บาทลงมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะยืนปิดระดับ 59 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 1.67% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.23 พันล้านบาท และเป็นการทำลายความเชื่อที่ว่า หลังเลือกตั้งหุ้นค้าปลีกจะกลับมาคึกคักลงราบคาบแบบนี้..สงสัยไตรมาส 2 กำไรหดตัวแรงกระมัง!
เม้าท์ถึงเรื่องที่น่าผิดหวังขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้นโรงหมออย่าง CHG เพื่อชี้ให้เห็นการไหลลงมาเรื่อย ๆ แบบไม่มีดิสเบรก จนวานนี้อาจเป็นการเด้งทางเทคนิคเท่านั้น หลังเข้าเขต Oversold โดยปิดที่ระดับ 2.84 บาท บวกไป 0.06 บาท หรือขึ้นไป 2.16% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 345 ล้านบาท แต่หากดูภาพรวมราคาหุ้นแล้ว เหมือนเป็นภาพสะท้อนที่ชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจโรงหมอได้ผ่านจุดพีกไปแล้ว และกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยนะนายจ๋า!
ส่วนรายที่เขาว่ากันว่า ผ่านจุดต่ำสุดของการทำธุรกิจ และกำลังเข้าสู่ช่วงฟื้นตัว คงต้องมองไปที่หุ้นอาหารแมว ITC เป็นตัวเลือกในลำดับถัดมา และเมื่อดูจากการลงมายืนที่ 16 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดนับตั้งแต่เข้าเทรด พร้อมกับย่ำฐานที่บริเวณดังกล่าวเป็นเวลาเกือบเดือน ต่อจากนั้นก็ขยับขึ้นอย่างช้า ๆ จนวานนี้ขึ้นมาปิดที่ระดับ 18.80 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 2.17% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 134 ล้านบาท มันน่าสนใจไหมล่ะคะ
ส่วนรายที่ยังดันไม่เลิก เพราะเล่นกับกระแสกำไรโต คงต้องมองไปที่หุ้น KAMART แบบไม่กระพริบตา เพราะในช่วงที่ราคาหุ้นตัวอื่นซวนเซ หุ้นตัวนี้กลับไม่ได้ผลกระทบอะไรเลย และในบางจังหวะยังสวนกระแสหน้าตาเฉย “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นประเมินกันเอาเองว่า การขึ้นมาปิดที่ระดับ 14.80 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 2.78% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 158 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 30 เท่า มันเข้าข่ายโอเว่อร์ไหมจ๊ะ
ตบท้ายกันที่หุ้นการเมืองอย่าง STEC เพื่อสะท้อนความรู้สึกของนักลงทุนว่า หากพรรคภูมิใจไทยได้เก้าอี้ “คมนาคม” กับ “สาธารณสุข” มาครองดั่งเดิม ก็น่าจับตาดูว่า ราคาหุ้นจะตอบรับกับข่าวดังกล่าวแรงแค่ไหน? เดี๊ยนถึงอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดที่ระดับ 10.70 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 4.46% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 208 ล้านบาท เหมาะที่จะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงขนาดไหน?..ลองไปคิดกันดูนะครับ