หุ้นได้เสีย SET50FF / SET100FF

SET50FF และ SET100FF เริ่มถูกนักลงทุนกล่าวถึงมากขึ้น ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มให้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับกระดานดัชนีใหม่ดังกล่าวบ้างแล้ว


SET50FF และ SET100FF เริ่มถูกนักลงทุนกล่าวถึงมากขึ้น

ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มให้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับกระดานดัชนีใหม่ดังกล่าวบ้างแล้ว เกี่ยวกับจะจัดทำดัชนีทางเลือก SET50FF และ SET100FF โดยวิธี Free Float Adjusted มีผล 1 ม.ค. 2567

ทำให้นักวิเคราะห์ต่างเริ่มหันมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวหุ้น ที่คาดว่าจะได้รับผลบวก และผลกระทบจากดัชนีประเภทใหม่

อย่าง บล.กรุงศรี พัฒนสิน บอกว่า “ผลกระทบเป็นกลางต่อตลาด”

พร้อมกับประเมินมีโอกาสที่กองทุนหุ้น SET50 และ SET100 ปัจจุบันจะทยอยปรับ Benchmark เป็นตัวใหม่สูง

นั่นจะส่งผลให้มีการปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นในหลายกลุ่ม

เริ่มจาก ธนาคารพาณิชย์ โรงพยาบาล ค้าปลีก วัสดุก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์

และจะมีการลดน้ำหนัก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โรงไฟฟ้า และขนส่งมากที่สุด

กลุ่มที่ถูกเพิ่มน้ำหนักลงทุนตามเกณฑ์ดังกล่าว คือ BBL, SCB, BDMS, KBANK, SCC และ  CPALL

ทั้งหมดจะมีเงินทุนไหลเข้าราว 2 พันล้านบาท ถึง 1 พันล้านบาทต่อตัว

กลุ่มที่คาดว่าจะถูกลดน้ำหนัก คือ  DELTA, AOT, GULF และ  PTTEP จะมีเงินไหลออกราว 4 พันล้านบาทถึง 800 ล้านบาทต่อตัว

บล.ทิสโก้ มีการวิเคราะห์ไว้ด้วยเช่นกัน

ทิสโก้ บอกว่า ดัชนีใหม่ จะเป็นทางเลือกในการใช้งานสำหรับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากดัชนี SET50 และดัชนี SET100

หลักเกณฑ์ในการจัดทำ 2 ดัชนีใหม่นั้น ในหลักการจะใช้การคัดเลือกหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีเช่นเดียวกับดัชนี SET50 และดัชนี SET100

ทว่า การคํานวณน้ำหนักของหลักทรัพย์ในดัชนีจะใช้ คือ

1.มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด

2.และถ่วงน้ำหนักด้วยสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) 

การจัดทำ 2 ดัชนีใหม่ เป็นแนวทางที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เคยสอบถามความเห็นผู้ที่เกี่ยวข้องในช่วงต้นปี 2564

เพื่อสะท้อนความสามารถในการลงทุนได้ของหลักทรัพย์ (Investable) ไว้ใช้เป็นทางเลือกในการใช้งานสำหรับผู้เกี่ยวข้อง

โดยเฉพาะ “นักลงทุนสถาบัน” ที่ใช้ดัชนี SET50 / SET100 เป็นมาตรฐานอ้างอิงการสร้างผลตอบแทนและการวัดผลการดำเนินงาน

ส่วนการจำลองผลกระทบจากการใช้วิธี Free Float Adjusted Market Cap.

เปรียบเทียบกับการคำนวณดัชนี SET100 ในปัจจุบันที่ใช้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ Full Market Cap.

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้รับการเพิ่มน้ำหนักในดัชนี SET100FF คือ กลุ่มธนาคาร +6.46%, ธุรกิจการแพทย์ +2.18%, พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ +1.59%), วัสดุก่อสร้าง +1.20% และพาณิชย์ +1.09%

กลุ่มที่จะมีน้ำหนักในดัชนี SET100FF ลดลง คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -4.70%, พลังงานและสาธารณูปโภค -3.24%, ขนส่งและโลจิสติกส์ -2.13% และ ICT -2.09%

หุ้นที่จะมีน้ำหนักในการคำนวณดัชนี SET100FF เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับดัชนี SET100 เดิมในระดับมากกว่า 1.00% ขึ้นไป คือ BBL +2.66%, SCB +1.77%, BDMS +1.67%, KBANK +1.52%, SCC +1.22%, CPALL +1.12% และ CPN +1.06%

ในทางกลับกัน หุ้นที่จะมีน้ำหนักในดัชนีลดลงมากที่สุด 5 อันดับแรก

เริ่มจาก DELTA -494 bps, AOT  -236 bps, GULF -169 bps, PTTEP -105 bps และ ADVANC -92 bps

(1 Basis Points : bps = 0.1%)

และหากอิงจากมูลค่าเงินลงทุนในกองทุนที่ใช้ดัชนี SET50 / SET100 เป็นมาตรฐานอ้างอิงในการสร้างผลตอบแทนในปัจจุบันที่ประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท

ประเมินว่าทุก ๆ น้ำหนักที่เปลี่ยนแปลงไป 1% หรือ 100 bps จะคิดเป็นเม็ดเงินราว 550 ล้านบาท

แต่ทิสโก้ ยังมีมุมมองเพิ่มว่า ดัชนีใหม่เป็นการเพิ่มทางเลือกในการใช้งานสำหรับผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น

และไม่ใช่ภาคบังคับ

คือเป็นดุลพินิจของผู้ที่จะนำดัชนีใหม่ดังกล่าวไปใช้

ดังนั้นผลกระทบโดยรวมจึงน่าจะน้อย

และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคในช่วงเวลาสั้น

ไม่มีผลกระทบต่อ “ปัจจัยพื้นฐาน”

นักลงทุนควรคำนึงถึงแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทและเป้าหมายการลงทุนในระยะยาวเป็นสำคัญ

Back to top button