บาทอ่อนค่า
เงินบาทอ่อนค่าผ่านแนว 35 บาทต่อดอลลาร์จนไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 1 เดือนที่ปัจจุบันมาอยู่ระดับ 35.38บาทต่อดอลลาร์ตามทิศทางสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย
เงินบาทอ่อนค่าผ่านแนว 35 บาทต่อดอลลาร์จนไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 1 เดือนที่ปัจจุบันมาอยู่ระดับ 35.38 บาทต่อดอลลาร์ตามทิศทางสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย หลังเงินหยวนที่เผชิญแรงกดดันจากตัวเลขการส่งออกและนำเข้าของจีนหดตัวลงมากกว่านักวิเคราะห์คาดของช่วงเดือน ก.ค. มันเป็นการตอกย้ำว่าแนวโน้มที่เปราะบางของเศรษฐกิจจีน ประกอบกับเงินบาทยังมีปัจจัยลบจากแรงขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติระหว่างรอการเมืองไทยก่อนชัดเจนเจ้าค่ะ
มิหนำซ้ำในส่วนของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมบางส่วนจากสัญญาณของเจ้าหน้าที่เฟดที่ยังคงมีความเห็นถึงความจำเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ดังนั้นโมนิก้ามีความกังวลว่าจากเงินบาทอ่อนค่า ผสมโรงกับรอการจัดตั้งรัฐบาลยังเกิดความล่าช้าไปอีก อาจทำให้ Fund Flow ไหลออกจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยวานนี้ดัชนีปรับตัวลงมาปิดที่ระดับ 1,520.73 จุด ลบไป 14.43 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.86 หมื่นล้านบาทเลยเพคะ
เช่นเดียวกับในรายของ STA งบการเงินไตรมาส 2/66 ออกมาน่าผิดหวังเสียจริง ซึ่งทำกำไรได้เพียง 110 ล้านบาท ลดลง 90% จากช่วงเดียวของปีก่อนมีกำไรมากถึง 1.14 พันล้านบาท แถมยังต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ไว้เสียอีก เห็นว่าในส่วนของรายได้ยางธรรมชาติและถุงมือยางปรับตัวลงทั้งนั้น จึงทำให้เกิดแรงเทขายเพื่อลดความเสี่ยงออกมากดให้ราคาหุ้นลงมาปิดที่ระดับ 12.90 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 7.19% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 223 ล้านบาท “โมนิก้า” ขอเตือนว่าอย่าเพิ่งเข้าไปเสี่ยงแล้วกันนะคะ
เหมือนกับในรายของ CENTEL ราคาหุ้นลงมาปิดที่ระดับ 42.50 บาท ลบไป 6 บาท หรือลงไป 12.37% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.11 พันล้านบาท โดนทิ้งเหมือนจะปิดโรงแรม เพียงแค่กำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ออกมาต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดเท่านั้นเอง “โมนิก้า” เห็นแล้วก็งงอะไรมันจะแพนิกขนาดนั้น เพราะอย่างไรหากเทียบกับไตรมาส 2/65 กำไรยังโต 447% เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอะไรมันก็เกิดขึ้นได้สำหรับการลงทุน แต่อย่างไรลองดูดี ๆ อาจเป็นจังหวะของการช้อนซื้อของถูกเพคะ
ขอเม้าท์ต่ออีกนิดสำหรับรายของ RBF หลังทะยานขึ้นมาปิดที่ระดับ 10.50 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือขึ้นไป 1.94% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 103 ล้านบาท เดี๊ยนมองเป็นจังหวะต้องตามไปดูอีกซักรอบ เพราะว่ากันว่าครึ่งปีหลังผลประกอบการจะโตแจ่มแจ๋ว โดยเฉพาะยอดขายต่างประเทศที่มีลูกค้าเก่าและใหม่มีคำสั่งซื้อวัตถุแต่งกลิ่นรสและสีผสมอาหารเข้ามาเพียบ ขณะที่ครึ่งปีแรกทำได้ยอดเยี่ยมกวาดกำไร 300 ล้านบาทไปแล้วจ้า
มาถึงรายของ MALEE เป็นอีกตัวที่มาเล่นรอบให้เห็นอยู่เสมอ โดยวานนี้พุ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 7.45 บาท บวกไป 0.45บาท หรือขึ้นไป 6.43% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 59 ล้านบาท ผนวกสัญญาณเทคนิคเป็นลักษณะ V-Shape ดังนั้น “โมนิก้า” ถือเป็นการปรับตัวขึ้นรับการเข้ากลุ่ม Top Pick หุ้นเด่นครึ่งปีหลัง อีกทั้งกำไรไตรมาส 3/66 ยังมีลุ้นว่าจะโตมากกว่า 50%…แบบนี้ลองเข้าไปลุยดูอีกซักตั้งแบบสั้น ๆ เป็นไงคะ
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่คล้ายกันคงเป็นรายการของ MEGA กระชากขึ้นมาปิดที่ระดับ 41.25 บาท บวกไป 2.25 บาท หรือขึ้นไป 5.77% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 210 ล้านบาท ซึ่งเป็นการดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและเปิดแก๊ปกว้าง หลังแกว่งตัวออกด้านข้างบริเวณ 39 บาท “โมนิก้า” ถือเป็นโมเมนต์ของการเล่นตามน้ำเหมือนเช่นเคยหลังประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท ขึ้น XD 24 ส.ค. นี้ หวังผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ส่วนเรื่องอื่นไว้คุยกันทีหลัง ไม่เช่นนั้นจะเสียเวลาเคาะขวาไปเปล่า ๆ…อิอิอิ
ปิดท้ายในรายของ CHASE วิ่งคึกจนราคาหุ้นขึ้นมาปิดที่ระดับ 1.92 บาท บวกไป 0.27 บาท หรือขึ้นไป 16.36% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 125 ล้านบาท ซึ่งตอบรับผลกำไรไตรมาส 2/66 เติบโตมากถึง 44 ล้านบาท เติบโต 71% จากช่วงปีก่อน ที่สำคัญโตดีกว่าคาด พร้อมกับทางฝ่ายวิจัยประเมินว่าครึ่งปีหลังจะดีขึ้นต่อเนื่อง “โมนิก้า” พรรณนาว่าราคาหุ้นมีโอกาสขึ้นไปปิดแก๊ปบริเวณ 2.24-2.28 บาทรับข่าวดีต่อเนื่องแล้วกันนะจ๊ะ