SET ลุ้นโหวตนายกฯ ชัดเจนหนุน Fund Flow ไหลกลับ
เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญความเสี่ยงใน 4 ด้านด้วยกัน คือ 1.ภาวะเงินฝืด 2.เศรษฐกิจต่างประเทศที่แย่ลง 3.กับดักสภาพคล่อง และ 4.วิกฤตอสังหาริมทรัพย์
InnovestX มองว่า เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญความเสี่ยงใน 4 ด้านด้วยกัน คือ (1) ภาวะเงินฝืด (2) เศรษฐกิจต่างประเทศที่แย่ลงและกระทบต่อภาคการส่งออก (3) เผชิญกับกับดักสภาพคล่อง (Liquidity Trap) จากการลดดอกเบี้ย แต่ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นการกู้ยืมรวมถึงปริมาณเงินในระบบได้ และ (4) วิกฤตอสังหาฯ ที่ลุกลามรุนแรงขึ้นหลังการผิดนัดชำระหนี้ของ Country Garden หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจจีนกำลังเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Deflationary Spiral หรือวงจรเงินฝืด หลังจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำยาวนาน
โดยหนทางที่จะรอดพ้นนั้น อาจต้องเกิดสถานการณ์ดังนี้ (1) ทางการจีนปรับลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรง เพื่อเป็นการ “ช็อก” เศรษฐกิจ (2) เศรษฐกิจโลกไม่ได้แย่มาก และฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับความต้องการสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้น (3) ต้นทุนภาคการผลิต (PPI) ต้องฟื้นตัวอย่างยั่งยืนและดึงเงินเฟ้อผู้บริโภค (CPI) ขึ้นตาม เนื่องจากสถานการณ์ทั้งสามเป็นไปได้ยาก ทำให้จีนเสี่ยงเข้าสู่วงจรเงินฝืดมีมากขึ้น
ทั้งนี้ทำให้ InnovestX ปรับประมาณการเศรษฐกิจจีนในปีนี้ลง จากที่เคยมองไว้ที่ 5.3% สู่ 5.0% โดยครึ่งปีหลังจะชะลอแรงขึ้น ในส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังขยายตัวต่อเนื่องท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ ทำให้ Fed น่าจะยังคงนโยบายดอกเบี้ยสูงต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ดอกเบี้ยในตลาดการเงินและในธนาคารยังอยู่ระดับสูง เป็นผลให้การผิดนัดชำระหนี้มีมากขึ้น โดยเฉพาะภาคอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 14.8% จากปีก่อน ขณะที่ NPL ของสินเชื่อเช่าซื้อ และบัตรเครดิตเพิ่มไปอยู่ที่ 7.3% และ 7.2% ของสินเชื่อรวมตามลำดับ เช่นเดียวกับภาระการจ่ายค่างวดของสินเชื่อบ้านที่สูงสุดในรอบ 11 ปี ที่ 1,355 ดอลลาร์ต่อเดือน (คิดเป็น 22% ของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนสหรัฐฯ) บ่งชี้ว่าภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจะฉุดรั้งการบริโภคและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะต่อไป
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น InnovestX มองว่า SET จะยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1,500-1,550 จุด โดยหากการโหวตนายกฯ วันที่ 22 ส.ค. ได้ข้อสรุป มีโอกาสดัชนีปรับขึ้นทดสอบกรอบบนที่ 1,550-1,560 จุด และคาดจะเห็น Fund Flow จะเริ่มไหลกลับเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ดี บรรยากาศลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะสั้นคาดยังถูกกดดันจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน ทำให้คาด SET ยังมี Upside จำกัด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) 8 หุ้นเด่นใน 4 อุตสาหกรรมสำหรับโอกาสเก็งกำไรในครึ่งหลังปี 66 ซึ่งคาดกำไรจะเติบโต HoH และ YoY เลือก PTT, BCP, KCE, HANA, BDMS, BCH, AOT และ ERW
2) หุ้นที่ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรครึ่งแรกปี 66 ซึ่งคิดเป็น Div. Yield ราว 2% เลือก SPALI (XD 22 ส.ค.), LH (XD 24 ส.ค.), HTC (XD 24 ส.ค.) และ AH (XD 29 ส.ค.)
3) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์ Fund Flow ไหลกลับ เลือก KBANK, GULF CRC, HMPRO
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญจากกำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ GLOBAL, กลุ่มสินเชื่อ MTC, SAWAD กลุ่มยานยนต์ SAT, STANLY กลุ่มเครื่องดื่ม CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร CPF, GFPT