ปากพาจน…ต้นแบบแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

ผู้บริหารบริษัทที่มีกระแสเงินสดเหลือเฟือในมือ มักจะติดนิสัยเสีย ไม่รู้จากไหนกันแน่ ด้วยการลงทุนเลอะเทอะ ในธุรกิจที่ไม่ถนัด แล้วอ้างเหตุผลว่า มันเป็นการขยายตัวในระนาบ เพื่อกระจายความเสี่ยง


ผู้บริหารบริษัทที่มีกระแสเงินสดเหลือเฟือในมือ มักจะติดนิสัยเสีย ไม่รู้จากไหนกันแน่ ด้วยการลงทุนเลอะเทอะ ในธุรกิจที่ไม่ถนัด แล้วอ้างเหตุผลว่า มันเป็นการขยายตัวในระนาบ เพื่อกระจายความเสี่ยง

แต่ก็นั่นแหละสืบดูประวัติย้อนหลังดูกันเถอะ จะเห็นว่า ไอ้การทำธุรกิจที่ไม่ถนัดนั้น มันเหมือนกับการเป็นหมอผ่าตัดมือใหม่ เปิดตำราไป ผ่าตัดไป

แถลงการณ์เรื่องการลงทุนล่าสุดของบริษัทพลังงานทางเลือกดาวรุ่ง บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น หรือ IFEC ที่นักลงทุนจำนวนไม่น้อยพากันเข้าไปติดหุ้นบนยอดอุ๊ยขอโทษเข้าไปเวียนเทียนซื้อขายหุ้น จนเป็นหนึ่งในหุ้นพิมพ์นิยมของรายย่อยมานานหลายเดือน

IFEC เพิ่งทุ่มเงินสด 2.5 พันล้านบาท ผ่านบริษัทลูกชื่อ ICAP เข้าซื้อกิจการโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ โดยใช้กระแสเงินสดของบริษัท คาดว่ากระบวนการซื้อกิจการดังกล่าวจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนธ..นี้ วัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และศูนย์สุขภาพ

เป็นการเลี้ยวข้อศอกแบบ90 องศากันเลยทีเดียวสำหรับหมอวิชัย ถาวรวัฒนยงศ์ ประธานกรรมการ และพวก ชนิดนักลงทุนพากันไปถึง “อึ้งกิมกี่” กันเป็นแถบ

หักข้อศอกแบบนี้ แรงเทขายหุ้นของรายย่อยชนิดไม่มียั้ง ทำให้ราคาร่วงไปถึง 40 สตางค์ เหลือแค่ 7.90 บาท สวนทางกับบทวิเคราะห์ของหลายสำนักที่พากันออกมาประเมินว่า ราคาหุ้น IFEC ที่เหมาะสมต้องมากกว่า 14 บาท

มุมมองของนักวิเคราะห์ที่สวนทางกับนักลงทุนอย่างนี้ อย่าถามเลยว่าใครถูก เอาเป็นแค่ว่านักลงทุนไม่ชอบก็แล้วกัน เพราะใช้เงินเยอะ

ทำไมถึงใช้เงินเยอะขนาดนี้ คำอธิบายคือ การซื้อโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ (โรงแรมที่มีเจดีย์อยู่หน้าโรงแรมที่เคยอื้อฉาวเมื่อหลายปีก่อน เพราะคนท้องถิ่นเจียงใหม่บอกว่า “มันขึดมันจา” น่ะแหละ) เป็นการซื้อโรงแรมมา 1.5 พันล้านบาท และหนี้ของโรงแรมที่มีอยู่ประมาณ 1 พันล้านบาทด้วย ซึ่งจะทำให้ D/E ของบริษัทเพิ่มเป็น 1 เท่า จากเดิมที่ 0.4 เท่า หลังจากการซื้อเสร็จแล้ว แต่หนี้ดังกล่าว IFEC จะล้างหนี้ของโรงแรมให้หมด

พูดง่ายๆ คือ ย้ายหนี้เดิมมาไว้ที่ IFEC แบกไว้เสียเอง แต่แบกไม่นานหรอกตามประสาคนหัวไว…เพราะหมอวิชัยบอกเองว่า จะดัดแปลงโรงแรมเอามาทำเมดิคัล สปา หรือศูนย์สุขภาพแบบครบวงจรในโรงแรมได้อีก เพิ่มมูลค่าสูงขึ้นเพราะกำลังฮิตสำหรับคนรวยที่เป็น สว. (สูงวัย)

จะเรียกว่าขยายไลน์ธุรกิจก็ได้ จะเรียกว่ารับจ๊อบไซด์ไลน์ ก็ได้ เพราะมันปะปนกัน

งานไซด์ไลน์ ก็เหมือนจอดรถชมดอกไม้ข้างทางชั่วคราว ก่อนจะเดินหน้าไปสู่จุดหมายเดิม…ไม่น่าเสียหายอะไร แม้จะลงทุนแพง

พูดอย่างนี้เพราะว่า โรงแรมมีสินทรัพย์จำบังซ่อนอยู่นะสิ… ตาไวสุดยอด

แลนด์แบงก์ข้างโรงแรม อยู่ระหว่างรอการพัฒนา 30 ไร่ ซึ่งบริษัทวางแผนจะพัฒนาเป็นโครงอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย โดยจะมีการร่วมทุนกับพันธมิตรที่เป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งได้มีการเจรจาอยู่ 2-3 รายคาดว่าจะข้อสรุปในปี 2559

แต่งานนี้นักวิเคราะห์มองลึกไปไกล บอกว่าได้โรงแรมมาแพงจริง แต่เจ้าของเดิม สุเชฏฐ์ สุวรรณมงคล ผู้ก่อตั้ง จะยังทำหน้าที่บริหารงานต่อภายหลังการขายหุ้นให้กับ ICAP ต่อ และสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ทันที จากปัจจุบันที่อัตราการใช้ห้องพักที่ 60-70% นั้นเกินจุดคุ้มทุนแล้ว แต่ที่ผ่านมาขาดทุนในส่วนของภาระดอกเบี้ยจ่าย ถ้าลดตรงนี้ได้หายห่วง

ยิ่งถ้าสามารถปรับนโยบายการตัดค่าเสื่อมราคาจาก 20-25 ปี เป็น 30 ปี ทำให้ค่าเสื่อมราคาต่อปีลดลงราว 50 ล้านบาท…ยิ่งฉลุย

ที่สำคัญเงินสดมาเร็ว ไม่ต้องลงทุนง่ายสุดคือ เอาที่ดินที่ไม่ได้ใช้งาน 30 ไร่ (ราคาประเมินตอนนี้ไร่ละ 15 ล้านบาท) และอาคารอีก 11 อาคาร (มูลค่าอาคารละ 60-80 ล้านบาท) ขายออกจากมือเสีย จะทำให้ปลดหนี้รวดเร็ว สามารถจ่ายหนี้ที่เหลือคงค้างอีก 1.65 พันล้านบาท (สมมติฐานว่าสามารถเจรจาลดมูลค่าหนี้ลงได้จาก 3.75 พันล้านบาทในต้นปีหน้า) ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายปีละ 100 ล้านบา

ตามเนื้อผ้า ก็น่าจะจบง่ายๆ

หมอวิชัยประเมินอย่างหรูเลยว่า การซื้อโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทเฉลี่ยปีละ 800-900 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เฉลี่ยปีละ 100-130 ล้านบาท โดยมีอัตราการเช่าห้องพักเฉลี่ยต่อปี (OCC) อยู่ที่ 60-70% และมีอัตราเฉลี่ยของรายได้ต่อจำนวนห้องพัก (Rev.Par) อยู่ที่ 10,000 บาท/ห้อง/คืน นอกจากนั้น บริษัทจะมีสินทรัพย์รวมเพิ่มเข้ามาอีกมูลค่า 5 พันล้านบาท และคาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า

คำแถลงของหมอวิชัยที่กลายเป็นพิษ ทุบหุ้นตัวเองหนักชนิด “ตกม้าตาย” ตรงที่ดันบอกไม่มีหูรูดว่าต้องลงทุนแบบใหม่นี้ เพราะว่า “…ธุรกิจพลังงานทดแทนก็ค่อนข้างมีความไม่แน่นอนสูง…”

อ้าว ไหงงั้น…นี่เข้าข่าย “ปากพาจน” จริงๆ…

เพิ่งดวงตาเห็นธรรมรึไงจ๊ะ

ทีก่อนหน้านี้ไม่เห็นพูดยังงี้เลย

ก็เห็นกันเหนาะๆ ว่า นับแต่เริ่มขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ IFEC มีผลการดำเนินงานกำไรตลอด และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสิ้นปี 2558 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 400 ล้านบาท จากที่ 9 เดือนแรกมีกำไรแล้ว 88.80 ล้านบาท มาจากรายได้จากการขายไฟฟ้าบางส่วนของโครงการพลังงานทดแทน 42 เมกะวัตต์ แม้ว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ 50 เมกะวัตต์ เนื่องจากมีบางโครงการเลื่อนออกไป ก็ไม่เห็นจะ ไม่แน่นอนสูง  ตรงไหน

พูดอย่างนี้ ทำให้คิดถึงตำนานโมเสส พาชาวยิวข้ามทะเลจากอียิปต์เสี่ยงตายมา เพื่อค้นหาดินแดนแห่งพันธะสัญญา แล้วงมโข่งหลงทางในทะเลทราย 15 ปี จนโมเสสสิ้นชีวิต…กลางทะเลทราย

หรือคุณหมอวิชัย เผอเรอเผยความในใจที่ซ่อนเร้นอยู่ว่า การนำ IFEC ออกจากธุรกิจเครื่องถ่ายเอกสารที่หมดอนาคต มาสู่พลังงานทางเลือก…ซึ่งเห็นว่าเป็นเสมือนดินแดนพันธะสัญญาของโมเสสนั้น…ความจริงมันเจอแต่ทะเลทรายของโมเสส…

ด้วยเหตุฉะนี้ จึงไม่ประหลาด ที่นักลงทุนจะหมางเมินนักวิเคราะห์ และคำแถลงต่อท้ายของหมอวิชัยที่วาดฝันว่า ผลประกอบการในปี 59 คาดว่ากำไรสุทธิจะทำได้สูงถึง 1 พันล้านบาท มาจากการรับรู้กำไรจากการขายไฟฟ้าของธุรกิจพลังงานทดแทนที่มีกำลังการผลิต 42 เมกะวัตต์เต็มปีในปีหน้า ซึ่งจะมีกำไรเข้ามาราว 420 ล้านบาทต่อปี และมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่เข้ามาเต็มปี ประกอบกับ ยังจะมีธุรกิจอื่นๆ ที่จะเพิ่มมาในปีหน้าอีก 2-3 ธุรกิจ ช่วยหนุนผลการดำเนินงานในปีหน้าให้เติบโตอย่างโดดเด่น…

คำพูดผิดแค่ประโยคเดียว เสียหายหลายสิบล้านทีเดียว

คำพูดอื่น หมดน้ำหนักอย่างช่วยไม่ได้

คงต้องหาตำรา “ปากพารวย” มาอ่านมั่งนะจ๊ะ คุณหมอวิชัย

หุ้นจะได้วิ่งกลับไปหาเป้าที่นักวิเคราะห์เยินยอเอาไว้…ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า

Back to top button