พาราสาวะถี
คงไม่ต้องถามกันแล้วว่ามาจริงไหม สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อยืนยันทุกช่องทางโดยเฉพาะท่าอากาศยานดอนเมืองและสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่ามาแน่
คงไม่ต้องถามกันแล้วว่ามาจริงไหม สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อยืนยันทุกช่องทางโดยเฉพาะท่าอากาศยานดอนเมืองและสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่ามาแน่ ส่วนที่สงสัยทำไมไม่มีการขอจอดหรือแจ้งรายชื่อคนเข้าประเทศ ตามกฎการบินกรณีเข้าประเทศด้วยสายการบินส่วนบุคคลไม่จำเป็นต้องแจ้งรายชื่อผู้โดยสารล่วงหน้า โดยผู้โดยสารสามารถแจ้งรายชื่อบุคคลที่เดินทางมาเพิ่มเติม พร้อมแสดงตัวได้ที่บริเวณจุดให้บริการของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองภายในท่าอากาศยาน อีกไม่กี่อึดใจได้รู้กัน
การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีวันนี้ เมื่อทักษิณบินกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดเป็นความจริง การตั้งรัฐบาลในนาม 11 พรรคร่วมที่มีเพื่อไทยเป็นแกนนำจึงไม่มีเหตุอะไรให้สะดุด รายชื่อของ เศรษฐา ทวีสิน ย่อมไม่มีเหตุที่จะถูกเปลี่ยน เรื่องข้อกล่าวหา ความสงสัยที่มีต่อตัวบุคคล หากเป็นประเด็นข้อกฎหมายก็สามารถไปยื่นร้องเอาผิดตามช่องทางต่าง ๆ ได้ โดยที่เจ้าตัวก็ยินดีที่จะให้ตรวจสอบอย่างเต็มที่ ดีด้วยซ้ำหากพ้นมลทินยิ่งจะทำให้การทำหน้าที่ในอนาคตจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสง่างาม
ถือเป็นบทพิสูจน์อีกประการเกี่ยวกับท่วงทำนองของพวกลากตั้ง ฝ่ายที่เรียกร้องให้เศรษฐาต้องมาแสดงวิสัยทัศน์ อ้างโน่นโทษนั่นกล่าวหานี่ตลอดเวลา ก็จะได้รู้ว่าเมื่อทุกอย่างผ่านกระบวนการตกลง ปิดดีลกันมาแล้วก็ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ ใครที่เคยมีบทบาทอย่างไร หากไม่ยอมปรับตัวก็จะกลายเป็นพวกตกยุค เมื่อหัวขบวนเผด็จการสืบทอดอำนาจประกาศวางมือ ก็เท่ากับปิดฉากกลไกที่ได้วางไว้เพื่อการอยู่ยาวไปในตัว ส่วนปัญหาที่เกิดจากการวางกับดักต่าง ๆ ไว้ คนทำไม่ได้ช่วยแก้ เป็นหน้าที่ของพวกที่อยู่ในอำนาจจะต้องหาทางช่วยกัน หรือจะสร้างให้เกิดความขัดแย้งอีกกระทอก ก็แล้วแต่ว่าจะเลือกกันทางไหน
ผลพวงจากการตั้งรัฐบาลพลิกขั้วรอบนี้ บอกแล้วว่าเป็นการเทเดิมพันหมดหน้าตักของทักษิณและเพื่อไทย นั่นหมายความว่า หากการเข้าไปบริหารประเทศไม่เป็นไปตามที่ตัวเองคาดหวัง ผลสัมฤทธิ์ไม่ได้ตามที่ต้องการ เลือกตั้งครั้งหน้าก็เป็นอันจบเห่ พรรคเจ้าของประชานิยมก็เป็นอันรูดม่านปิดฉากไปโดยปริยาย ระยะเวลาจากนี้ไปจะเป็นบทพิสูจน์ ส่วนมิตรสหายที่ตีจากไปรายวันก็เป็นสัจธรรมที่ต้องยอมรับ ตามคำที่ ภูมิธรรม เวชยชัย คนรู้ใจนายใหญ่ชอบใช้ ทำงานใหญ่ใจต้องนิ่งและกล้าที่จะรับแรงกระแทกทุกอย่างที่จะถาโถมเข้ามา
สำหรับมือไม้คนทำงานให้กับพรรคในฐานะผู้ร่วมสร้างมวลชน และฉุดรั้งกองเชียร์ไม่ให้ตีจากเพื่อไทยมาตลอดระยะเวลาของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองอย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อมีพรรค 2 ลุงเข้ามา ก็ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ไขก๊อก หันหลังให้กับพรรคที่ตัวเองร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา เป็นการจากลาบนวิถีแห่งการเมืองที่เสี่ยเต้นเข้าใจดี มันก็เป็นเช่นนี้แล การเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด แต่สงครามรอบนี้ทำให้คนที่เคยเป็นแกนนำพาคนเสื้อแดงต้องเสียเลือด บาดเจ็บล้มตายมาแล้ว ต้องกลืนเลือดหลั่งน้ำตา
ภาษาที่ณัฐวุฒิใช้ในการส่งสัญญาณเพื่อจากลาพรรคเพื่อไทย ที่โพสต์ไว้บนเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ว่า “ข้าพเจ้าเพียงรอเวลา และเวลาของข้าพเจ้า มาถึงแล้ว” เมื่อมาฟังบทสัมภาษณ์แสดงความชัดเจนผ่านรายการของ สรยุทธ ทัศนะจินดา เพื่อนต่างรุ่นศิษย์เก่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วยกันแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้ว่า ด้วยการถูกตัดสิทธิทางการเมืองจากการถูกจองจำที่ยังเหลือระยะเวลาอีก 7 ปี การหันหลังให้พรรคที่ตัวเองผูกพันในครั้งนี้ จึงมีเวลาที่จะได้ทบทวนและมองไปยังอนาคตว่า จะเดินไปในทิศทางใด
ในฐานะคนในยุทธภพการเมืองเชื่อว่าจะยังได้เห็นณัฐวุฒิโลดแล่นอยู่บนเส้นทางนี้ต่อไป หากยืมเอาภาษาของนิยายกำลังภายในของจีนอย่างเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร ซึ่งนักพูดอย่างเสี่ยเต้นนิยมชมชอบการใช้ภาษาเหล่านี้อยู่แล้ว ก็น่าจะทำให้มองเห็นทั้งตัวตนและการขับเคลื่อนอนาคตของเจ้าตัวเป็นอย่างดี เพลงกระบี่เก้ากระบี่เดียวดาย รุกไม่มีถอย ถูกตั้งคำถามว่า “หากเรียนแล้วจะเดียวดาย ก็ยังจะเรียนหรือ” ถ้าจะบรรเลงเพลงเย้ยยุทธจักรตั้งแต่ต้นจะเรียนวิชากระบี่นี้ไปใย ฉันใดก็ฉันนั้น ณัฐวุฒิคงไม่ได้ล้างมือในอ่างทองคำ เพราะเมื่อกระโจนเข้าสู่ยุทธจักรนี้แล้ว แม้จะจำจากพรรคที่เคยรักก็ใช่ว่าจะจรไปจากวงการ
ความจริงแล้วไม่ได้มีแต่กรณีของณัฐวุฒิ และความอึดอัดภายในพรรคเพื่อไทยของคนที่ไม่อยากให้จับมือกับพรรคสองลุงเท่านั้น แม้แต่สื่ออย่างวอยซ์ ทีวี ที่ก็รู้กันอยู่ว่าใครเป็นเจ้าของ และมีทิศทางการนำเสนอข่าวสารไปในแนวทางใด ระดับบริหารและผู้ดำเนินรายการหลายราย เมื่อมีการพลิกขั้วทางการเมือง ด้วยการอ้างสลายขั้ว ก้าวข้ามความขัดแย้ง คนเหล่านั้นก็อยู่ไม่ได้ ต้องโบกมือลาไปเช่นกัน นั่นจึงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองเหมือนกันว่า การเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลหนนี้ของเพื่อไทยมีต้นทุนที่สูงยิ่ง
การเริ่มต้นนับหนึ่งจะราบรื่น เรียบร้อยหรือไม่ ให้จับตาดูการจัดสรรปันส่วนรัฐมนตรีกับพรรคร่วมรัฐบาล หลายพรรคพร้อมใจกันพูดว่า ไม่มีปัญหา ไม่งอแง ไม่เรียกร้อง ไม่ต่อรองต่อตำแหน่งใด ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วมีการยื่นเงื่อนไขมาแต่ต้น หากจะเข้าร่วมขอแค่กระทรวงที่ต้องการทุกอย่างก็จบ ซึ่งกระทรวงไหนที่ไม่ได้มีการขอมาซ้ำซ้อนกัน เพื่อไทยก็ยินดีที่จะยกให้แม้จะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ และมีบางกระทรวงที่พรรคแกนนำให้ไม่ได้ จึงต้องเปิดการเจรจากันแบบลับเฉพาะ
โดยเฉพาะกับพรรคภูมิใจไทยที่ถือว่ากุมความได้เปรียบอีกหนกับการร่วมรัฐบาลเที่ยวนี้ หากใครเห็นภาพคณะเจรจาที่ไม่ได้มีเพียงหัวหน้า เลขาธิการ และนายทุนของพรรค หากแต่ยังมี ไชยชนก ชิดชอบ ส.ส.บุรีรัมย์สมัยแรก และลูกชายคนโตของเนวิน ร่วมคณะพร้อมขุนพลคู่กายของอาจารย์ใหญ่ที่มาตามประกบลูกชายอีกที ยิ่งทำให้เห็นถึงความมั่นใจที่สองพรรคนี้จะจับมือกันแน่น และเป็นการยืนยันว่าผ่านการเคาะมาจากคนแดนไกลเรียบร้อย นี่ก็เป็นอีกบทพิสูจน์ความจริงการเมืองที่ว่าไม่มีมิตรและศัตรูถาวร