3 วัน 30 จุด! ไปต่ออีกไหม?
ช่วง 3 วันที่ผ่านมา (21-23 ส.ค.) ดัชนีตลาดฯ วิ่งขึ้นมาแล้วประมาณ 30 จุด เริ่มจาก 21 ส.ค. +6.73 จุด, 22 ส.ค. +19.75 จุด และ 23 ส.ค. +3.41 จุด
ช่วง 3 วันที่ผ่านมา (21-23 ส.ค.)
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วิ่งขึ้นมาแล้วประมาณ 30 จุด
เริ่มจากวันที่ 21 ส.ค.บวกขึ้นมาได้ 6.73 จุด
วันที่ 22 ส.ค. บวกอีก 19.75 จุด
และวันที่ 23 ส.ค.หรือวานนี้บวกขึ้นมาอีกเล็กน้อย 3.41 จุด
ดัชนีที่วิ่งขึ้นมารับปัจจัยหนุนจากการเมืองในประเทศที่มีความชัดเจนขึ้นนั่นแหละ
แต่สังเกตไหมว่า ดัชนีไม่ได้ปรับขึ้นอย่างรุนแรงแบบ 20-30 จุดในวันเดียว ด้วยเหตุผลว่า นักลงทุนยังต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์แบบวันต่อวัน
แม้กระทั่งการติดตามในรายวันนั้น
ยังต้องดู (สถานการณ์) กันเป็นรายชั่วโมงอีกด้วย
เช่นวันที่โหวตนายกรัฐมนตรี (22 ส.ค.)
ในช่วงเช้าถึงบ่าย ดัชนีวิ่งขึ้นมา และบวกได้อยู่ประมาณ 17 จุด
แต่หลังจากที่มีเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา หรือสว. เกินกว่า 65 เสียงไปแล้ว
ดัชนีวิ่งขึ้นมาบวกสูงสุดที่ 21-22 จุด ก่อนจะลงมาปิดตลาด เหลือบวก 19.75 จุด
เช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ที่ดัชนีนับตั้งแต่ช่วงเช้าอยู่ในแดนบวกและลบสลับกันไป
พอเปิดตลาดภาคบ่าย มีความชัดเจนเกี่ยวกับการโปรดเกล้าฯ “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงเย็น ทำให้นักลงทุนต่างกลับเข้ามาอีกครั้ง
ประเด็นที่น่าสนใจนอกจากเรื่องหุ้นที่ขึ้นมา 30 จุด ใน 3 วันที่ผ่านมา
นั่นคือ มูลค่าการซื้อขายที่มากกว่า 7 หมื่นล้านบาท ติดต่อกันสองวันแล้ว
วันที่ 21 ส.ค. มูลค่าซื้อขาย 71,924 ล้าบาท
และวานนี้ (23 ส.ค.) มูลค่าซื้อขาย 75,837 ล้านบาท
หากสัปดาห์นี้ที่เหลืออีก 2 วัน มีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 7 หมื่นล้านบาทต่อเนื่อง
น่าจะมีนัยส่งไปยังดัชนีที่อาจจะเป็นขาขึ้น หรือบวกได้ต่อ ส่วนจะแรงหรือไม่แรง ขึ้นอยู่กับว่า จะมีแรงขายทำกำไรจากนักลงทุนที่เข้ามาเก็บหุ้นไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่
ประเด็นต่อไปที่นักลงทุนติดตามคือ บุคคลที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ
โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ
ใครจะนั่งรมว.คลัง พลังงาน อุตสาหกรรม คมนาคม
กระทรวงเหล่านี้ บุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรี จะมีนัยสำคัญส่งไปถึงหุ้นในกลุ่มต่าง ๆ อย่างน่าสนใจ
โดยเฉพาะกระทรวงพลังงาน และคมนาคม
หากออกมาแล้ว ไม่ได้ขี้เหร่ (คือไม่ยี้)
น่าจะเป็นแรงผลักดันให้หุ้นขนาดใหญ่ที่มีความเกี่ยวพันกับกระทรวงเศรษฐกิจนั้น ๆ วิ่งไปต่ออีกได้
บทวิเคราะห์จากหลักทรัพย์บัวหลวง มีแนะนำกลุ่มหุ้น
ด้วยการโฟกัสไปยังกลุ่ม Domestic play ทั้งส่วน Consumption (อิงการบริโภคในประเทศ) และท่องเที่ยว โดยเฉพาะหุ้นใหญ่จากความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ บวกกับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติกลับมา
หุ้นกลุ่มผู้นำที่จะปรับตัวขึ้นแรลลี่ในรอบนี้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม จาก 14 บริษัท
กลุ่ม 1. ได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นแจกเงิน พักหนี้เกษตรกร ลดค่าไฟ ได้แก่ กลุ่ม Consumer มีหุ้น CPN CPALL CPAXT COM7
กลุ่มการเงิน TIDLOR
กลุ่มท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่ม แนะ ERW MINT CBG ส่วนกลุ่มขนส่ง คือ BEM
กลุ่ม 2. กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะโครงการที่ศึกษาแล้ว ค้างท่ออยู่ เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูงต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มรับเหมา เช่น STEC CK
และโครงการน่าตื่นเต้นใหม่ ๆ เช่น กลุ่มนิคม ได้แก่ WHA, AMATA
กลุ่ม 3. กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการ EV และ Digitalization เช่น NEX