CV หุ้นใหญ่ใส่เกียร์ R.!

ราคาเข้าใกล้ต่ำบาทเข้าไปทุกที สำหรับหุ้น CV โดยรอบ 1 สัปดาห์ ราคาปรับลดลงไปแล้ว 11.11% รอบ 1 เดือน ราคาปรับลดลง 26.32% และรอบ 3 เดือน ปรับลดลง 27.27%


ราคาเข้าใกล้ต่ำบาทเข้าไปทุกที..!! สำหรับหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกอย่างบริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV โดยรอบ 1 สัปดาห์ ราคาปรับลดลงไปแล้ว 11.11% รอบ 1 เดือน ราคาปรับลดลง 26.32% และรอบ 3 เดือน ปรับลดลง 27.27%

ขณะที่ปัจจุบันซื้อขายกันที่ราคา 1.12 บาทเท่านั้น ซึ่งวานนี้ (24 ส.ค.) ราคาทรุดลงไปอีก 3.45%

ดูสถานการณ์แล้ว อีกไม่กี่อึดใจ CV คงกลายเป็นหุ้นต่ำบาทแหง ๆ…เชื่อขนมกินได้เลย

นอกจากจะเห็นราคาหุ้น CV ถอยหลังลงคลองแล้ว…ยังเกิดปรากฏการณ์น่าฉงนสนเท่ห์อีก เมื่อจู่ ๆ ผู้ถือหุ้นใหญ่เบอร์ 1 “เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล” ซึ่งควบด้วยตำแหน่งซีอีโอ ดอดขายหุ้นออกมา 2 วันซ้อน รวมกันราว 40.58 ล้านหุ้น…

โดยแบ่งเป็น ขายเมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2566 จำนวน 2 ล็อต…ล็อตแรกเป็นการขายบิ๊กล็อต 17.50 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 1.40 บาท รวมมูลค่า 24.50 ล้านบาท ส่วนอีกล็อต 10.58 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 1.26 บาท รวมมูลค่า 13.33 ล้านบาท, และขายเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2566 อีก 12.50 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 1.25 บาท รวมมูลค่า  15.62 ล้านบาท

ส่งผลให้ “เศรษฐศิริ” เหลือถือหุ้น 332.98 ล้านหุ้น จากเดิมถืออยู่ 356.06 ล้านหุ้น

ทั้ง ๆ ที่บอร์ด CV กำลังตระเตรียมเพิ่มทุนครั้งมโหฬารจำนวน 3,840 ล้านหุ้น (หุ้นจดทะเบียนเดิม 1,280 ล้านหุ้น) ขายให้ทั้งผู้ถือหุ้นเดิม (RO) และแบบเฉพาะเจาะจง หรือ PP…โดยแบ่งเป็น ก้อนแรกจำนวน 2,560 ล้านหุ้น ขาย RO อัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ ที่ราคาหุ้นละ 1.00 บาท

ก้อนที่สอง จำนวน 2,560 ล้านหุ้น ขาย PP (ยังไม่ระบุราคาและเปิดเผยชื่อ)

และก้อนสุดท้าย จำนวน 1,280 ล้านหุ้น รองรับการออกวอร์แรนต์ครั้งที่ 1 (CV–W1)

แล้วทำไมเจ้าของเดิมถอยเสียล่ะ..?? มันน่าแปลกป๊ะล่ะ..!?

เอ๊ะ…หรือถอยเพื่อเปิดทางให้รายใหม่เข้ามาอ๊ะป่าว..? เพราะมีบางส่วนที่ขายบิ๊กล็อตออกไป คนที่มารับไม้ต่อก็จะได้สิทธิ RO ไปด้วยนะ…

แล้วถ้าบุคคลคนนั้นเป็นคนเดียวกับที่จะได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน PP ด้วยแล้ว ก็จะทำให้ใหญ่เป้งขึ้นมาทันที..!!

ก็ไม่รู้ว่าจะไปเกี่ยวโยงกับคนที่ชื่อ “บัณฑิต สะเพียรชัย” ซึ่งเพิ่งมานั่งเป็นบอร์ด CV ยังไม่ทันครบเดือน (ได้รับการแต่งตั้งเมื่อ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา) หรือเปล่าน้อ..? อันนี้ก็น่าคิด

ส่วนดีลที่จะไปซื้อหุ้นในสัดส่วน 20% ของบริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (WTX) ซึ่งประกอบธุรกิจจัดการซากรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน ธุรกิจการถอดแยกชิ้นส่วน การถอดและการรีไซเคิล ผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุการใช้งาน (Dismantle Recycling) รวมทั้งการแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงแข็ง (Solid recovered fuel : SRF) และธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน มูลค่า 1,040 ล้านบาท จะปรับเปลี่ยนหรือเปล่า..? เป็นอีกช็อตที่ต้องติดตามกันต่อไป…

แต่ที่แน่ ๆ การขายหุ้นครั้งนี้ “เศรษฐศิริ” ได้เงินเข้ากระเป๋าก่อนเลยราว 53.45 ล้านบาท…หากคิดเฉพาะกำไรน่าจะอยู่ที่ 33.09 ล้านบาท เนื่องจากมีต้นทุนเพียง 0.50 บาท (คำนวณจากราคาพาร์) ทำให้มีกำไรส่วนต่างจากราคาหุ้นครั้งนี้ 0.75-0.90 บาทต่อหุ้น

ตามมาด้วยเวลาจะใส่เงินเพิ่มทุน RO ตามสัดส่วนการถือหุ้น ก็จะใส่เงินน้อยลง จากเดิมต้องใส่ 747.12 ล้านบาท ก็เหลือแค่ 665.96 ล้านบาท…เลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เป็นการขายหุ้นเพื่อหนีเพิ่มทุนป๊ะเนี่ย..?

ดูเหมือนกลเกมครั้งนี้ มันถูกจัดวางมาหมดแล้วนะ…

แค่ไม่ใช่ถอยกรูด…แต่เป็นการถอยแบบเนียน ๆ ต่างหากล่ะ..!?

หรือใครจะเถียง..!!

…อิ อิ อิ…

Back to top button