นายกฯ ‘เศรษฐา’ การบ้านเพียบ
ภายหลัง “เศรษฐา ทวีสิน” ได้รับการโหวตเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ทั้งตลาดหุ้น และประชาชนขานรับกันอย่างคึกคักทันที
เส้นทางนักลงทุน
ภายหลัง “เศรษฐา ทวีสิน” ได้รับการโหวตจากสมาชิกรัฐสภาด้วยคะแนนเสียง 482 เสียง เห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ทั้งตลาดหุ้นและประชาชนขานรับกันอย่างคึกคักทันที
ในส่วนของชาวบ้านร้านช่องนั้น ความคึกคักนี้เกิดขึ้นในกลุ่มประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป เพราะจะได้สิทธิรับเงิน 1 หมื่นบาท มาใช้จ่ายผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
ในส่วนของตลาดหุ้น ความคึกคักกลับมาด้วยการบวกติดต่อกัน 3 วันซ้อน โดยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ซึ่งเป็นวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,545.60 จุด เพิ่มขึ้น 19.75 จุด หรือบวก 1.29% วอลุ่มหนาถึง 7.19 หมื่นล้านบาท
วันที่ 23 สิงหาคม 2566 บวกไปอีก 3.41 จุด ดัชนีขยับขึ้นมาที่ 1,549.01 จุด บวก 0.22% วอลุ่มซื้อขาย 7.58 หมื่นล้านบาท ขณะที่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 ตลาดหุ้นบวกไปอีก 0.54% หรือ 8.40 จุด มาที่ 1,557.41 จุด มีวอลุ่ม 6.85 หมื่นล้านบาท
รัฐบาลชุดใหม่นี้เป็นรัฐบาลผสม มีพรรคการเมืองหลัก ๆ ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย, ภูมิใจไทย, พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งนโยบายที่เกี่ยวข้องกับปากท้องชาวบ้านของแต่ละพรรคจะมีความโดดเด่นแตกต่างกันไป
แต่หากพุ่งเป้าไปที่นโยบายของพรรคแกนนำหลัก คือ พรรคเพื่อไทย ถือว่านโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท โดนใจประชาชนอย่างมาก ซึ่งชัดเจนว่านโยบายนี้จะออกมาไม่เกินครึ่งแรกของปี 2567
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายค่าแรง 600 บาทต่อวัน, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ที่จะดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน เห็นผลภายในระยะเวลา 4 ปี
รวมทั้งยังมีนโยบายบริหารจัดการน้ำ ไม่ท่วม ไม่แล้ง, สวัสดิการผู้สูงอายุ, ส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ในครัวเรือน, รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นต้น
เมื่อการโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เป็นไปอย่างราบรื่น ทำให้ความกังวลเรื่องสุญญากาศทางการเมืองผ่านพ้นไป และงบประมาณประจำปี 2567 ก็จะไม่สะดุด
ภายใต้รัฐบาลผสมเช่นนี้ นักวิเคราะห์ นักลงทุนสถาบัน ผู้จัดการกองทุนรวม นักธุรกิจ บอกว่ายอมรับได้ ถือเป็นการปลดล็อกระดับหนึ่ง ที่เหลือรอพิสูจน์กันที่ผลงานการบริหารประเทศ และการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อน
ผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) รายหนึ่ง ระบุว่า การตอบสนองของตลาดหุ้นเป็นสัญญาณชี้ชัดว่าแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองเริ่มคลี่คลาย โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ต่างขานรับในทิศทางที่ดี
ด้านสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ในฐานะประธานกรรมการ เตรียมจะเข้าหารือกับรัฐบาลใหม่ โดยจะเสนอให้ส่งเสริมตลาดทุนไทยเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การแก้ไขกฎเกณฑ์และกฎหมายให้สอดคล้องกับ Digital Government ให้การอนุมัติ การอนุญาต การติดต่อทางราชการ เป็นไปด้วยความสะดวก รวมถึงปรับกฎเกณฑ์ ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในตลาดทุน เช่นกรณีหุ้น บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) และปัญหาการหลอกลวงการลงทุน เป็นต้น
นอกจากนี้ FETCO และบลจ.ยังเตรียมเสนอให้พิจารณาออกกองทุนใหม่ หลังจากกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) จะหมดอายุลงในปีนี้ และเตรียมปรับปรุงกองทุน SSF ให้มีความน่าสนใจมากกว่านี้ จากที่ผ่านมาพบว่าไม่ได้เป็นที่สนใจแก่ประชาชนมากนัก
ขณะที่ ภาคธุรกิจ เช่น สภาหอการค้าไทย เตรียมนำประเด็นปัญหาใหญ่ ทั้งการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และลดต้นทุนภาคเอกชนทั้งค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า ปัญหาการแข่งขันและการส่งออกของไทย รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ เข้าหารือทันที
รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เร่งเสริมความโดดเด่นภาคการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้าย เพราะถือเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกเรื่องการทำวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนให้รวดเร็ว และการเพิ่มเที่ยวบินรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น
ตลอดจนต้องการให้เร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังค้างท่ออยู่ และจัดทำงบประมาณรายจ่าย 2567 ให้เกิดความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนแผนงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ เร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ ๆ จากต่างชาติ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเป็นผลดีต่อตัวเลขการส่งออกในอนาคต
ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่มีอาการน่าเป็นห่วง โดยเฉลี่ยครึ่งปีแรก จีดีพีเติบโตได้เพียง 2.2% จึงมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตหลุดเป้าที่ 3% ซึ่งตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่ปรับลดลงมาแล้วด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่านายกฯ “นิด เศรษฐา ทวีสิน” ยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าเข้าทำเนียบรัฐบาล ก็ได้รับการบ้านไปมากมายขนาดนี้แล้ว
ดังนั้น เมื่อเข้าไปนั่งเก้าอี้อย่างจริงจัง ก็จะต้องพิสูจน์ฝีมือเพื่อไม่ให้เสียชื่อนักธุรกิจใหญ่ ผู้ปลุกปั้นให้บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้เป็นหนึ่งในองค์กรต้นแบบด้านความเท่าเทียม และเป็นองค์กรที่สร้างนิวไฮในด้านการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง