ครม.หน้าตาแปลก

เท่าที่ดูจากโผครม.ซึ่งน่าจะนิ่งแล้ว หน้าตารัฐบาลเศรษฐา 1 ดูแปลก ๆ ชอบกล ออกไปในทางต่ำกว่าความคาดหมายมากกว่า โดยเฉพาะรัฐมนตรีในพรรคเพื่อไทย


เท่าที่ดูจากโผครม.ซึ่งน่าจะนิ่งแล้ว หน้าตารัฐบาลเศรษฐา 1 ดูแปลก ๆ ชอบกล ออกไปในทางต่ำกว่าความคาดหมายมากกว่า โดยเฉพาะรัฐมนตรีในพรรคเพื่อไทย

เซอร์ไพรส์ล่าสุดก็คือ การนำนายพิชิต บานชื่น เข้ามาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แทนที่โผเดิมที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล ผู้มีอาวุโสเต็มเปี่ยมและไม่มีประวัติด่างพร้อย จะเป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลงานด้านกฎหมาย

นายพิชิตผู้นี้ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นทนายประจำตระกูลชินวัตร แม้จะเคยมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับ “ถุงขนมติดสินบน” และโดนศาลสั่งจำคุกข้อหาละเมิดอำนาจศาลโดยไม่รอลงอาญามาแล้ว แต่ก็ยังได้รับความไว้วางใจจากตระกูลชินวัตรมาอย่างต่อเนื่อง

ออกจากคุกมา ก็มาเป็นสส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย มีบทบาทอย่างมากในการผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย เป็นทนายความต่อสู้คดีจำนำข้าวให้ยิ่งลักษณ์ จนกระทั่งมาเบียดเบอร์ใหญ่อย่างอาจารย์ชูศักดิ์ขึ้นเป็นมือกฎหมายแทน

สงสัยว่าจะมีเกียรติภูมิความน่าเชื่อถือพอในการทำงานด้านกฎหมายของรัฐบาลเพียงใด หรืออาจจะเป็น “สายล่อฟ้า” เสียเอง

เซอร์ไพรส์สุด ๆ เห็นจะเป็นสุทิน คลังแสง “ดาวสภา” ผู้กล่าวสรุปอภิปรายเกือบทุกครั้ง ไปนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สงสัยว่า “บิ๊กทิน” จะไปทำอะไรได้

คุณสุทินจะไปตัดลดงบประมาณซื้ออาวุธกองทัพ ไปปฏิรูปกองทัพ แก้ปัญหา “นายพลเฟ้อ” ปัญหาทุจริตในกองทัพ ไปปรับปรุงกองทัพให้เล็กกะทัดรัดทันสมัย หรือยกเลิกเกณฑ์ทหารให้เป็นระบบสมัครใจ ที่พรรคเพื่อไทยเคยประสานเสียงร่วมกับพรรคก้าวไกลไว้กระนั้นหรือ

ดาวสภาสุทิน จะไปทำอะไรที่กลาโหม ขณะที่มีนายพลที่มีภาพลักษณ์ดูดีในสังกัดพรรคเพื่อไทยให้เลือกอีกหลายคน

อีกคนหนึ่งก็คงจะเป็นคุณภูมิธรรม เวชยชัย นั่งรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังสงสัยว่า “จัดคนให้เหมาะกับงานหรือไม่” ในขณะที่โลกการค้ายุคปัจจุบัน มีการแข่งขันที่ดุเดือดแหลมคมขึ้นมาก อีกทั้งยังมีความหลากหลายซับซ้อนทั้งเศรษฐกิจเก่าและเศรษฐกิจใหม่ยุคดิจิทัล

แค่ไปตามทวงคืนเซ็นสัญญา FTA ข้อตกลงการค้าเสรีแบบทวิภาคีกับอียูหรือประชาคมยุโรป 27 ชาติ ก็เป็นงานหนักหนาเหลือกำลังแล้ว 

ยังจะต้องใช้ความรู้ความสามารถเชิงเทคนิคทางการค้าอีกมากมายในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร อันเป็นปัญหาทางการเมืองมาทุกปี นโยบายรับจำนำที่ผ่านมา ก็ติดคุกหัวโตกันมาแล้ว จะหันไปหานโยบายประกันของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ หรือจะมีนโยบายอื่นใดที่ดีกว่านี้

คุณภูมิธรรมอาจจะเก่งงานการเมือง หากไปนั่งรมว.มหาดไทย กระทรวงยุติธรรม หรือกระทรวงอื่น ๆ ที่พอใช้หลักการบริหารงานทั่วไปได้ ก็มีความเหมาะสมดี แต่มานั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องเดินงานทั้งในประเทศหรือต่างประเทศควบคู่กันไป ก็คงต้องแสวงหาความรู้เพิ่มเติมกันมากสักหน่อย

การจัดสรรกระทรวงให้แก่พรรคการเมืองต่าง ๆ ก็แปลก พรรคแกนนำไม่เอากระทรวงมหาดไทยมาดูแลเอง แล้วจะไปปราบ “ยาบ้า” ที่เป็นแบรนด์เนมของพรรคเพื่อไทยได้อย่างไร

ส่วนรัฐมนตรีพรรคอื่น ๆ ก็มีบ้างเหมือนกันเช่น ว่าที่รมว.พลังงาน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ประกาศจะใช้นโยบายนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป แทนน้ำมันจากโรงกลั่นในประเทศ เพื่อลดราคาน้ำมันลงมา 

อันนี้ก็แปลก! แก้ไม่ถูกจุดหรอกครับ

เพราะโครงสร้างราคาน้ำมันจำหน่ายปลีกในปัจจุบัน เป็นราคาเนื้อน้ำมันแท้จริง (ราคาหน้าโรงกลั่น) เพียง 62% เท่านั้น ที่เหลือ 38% ก็เป็นภาษีสรรพสามิต บวกเงินกองทุนน้ำมัน ภาษีเทศบาล กองทุนอนุรักษ์ฯ ค่าการตลาด ภาษีแวตทั้งค้าส่งและค้าปลีก

จึงควรใช้วิธีหั่นตรงส่วน 38% ที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อน้ำมันลงมานี่แหละ ซึ่งภาษีตัวใหญ่ที่สุดคือ ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บกันอยู่ระหว่างลิตรละ 5.85-6.50 บาท หากจะหั่นลงมาสักครึ่งหนึ่งก็สามารถจะลดราคา 3 บาทได้สบาย ๆ 

ไม่ต้องไปใช้นโยบายทุบทำลายโรงกลั่นในประเทศจำนวน 6 โรง ที่มีกำลังการกลั่นรวมกันถึงวันละ 1.25 ล้านบาร์เรล หรือหากจะคิดนอกกรอบให้ย้ายการอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์มาเป็นโรงกลั่นไทย ซึ่งราคาจะถูกกว่า

ก็ยังดูจะเท่เก๋กว่ากันเยอะเลย

Back to top button