SET แกว่งในกรอบ…รอรัฐบาลใหม่แถลงนโยบาย

สัญญาณเศรษฐกิจโลกเริ่มชัดเจนใน 3 จุด ได้แก่ 1.อัตราเงินเฟ้อโลก 2.เศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มชะลอลงชัดเจนขึ้น 3.ตลาดแรงงานที่เริ่มมีความสมดุลมากขึ้น


InnovestX มองว่า สัญญาณเศรษฐกิจโลกเริ่มชัดเจนใน 3 จุด ได้แก่ (1) อัตราเงินเฟ้อโลก แม้เริ่มลดลงในระดับหนึ่ง แต่ในระยะต่อไปจะเริ่มลดลงยากขึ้น โดยในสหรัฐฯ เป็นไปตามที่ประธาน Fed ได้กล่าวไว้ในสุนทรพจน์ที่ Jackson Hole ว่า แม้เงินเฟ้อสำหรับสินค้าลดลง แต่เงินเฟ้อที่อยู่อาศัย และ เงินเฟ้อที่เกี่ยวกับค่าจ้างจะลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่เงินเฟ้อในยุโรป เช่น เยอรมนีและสเปนยังอยู่ระดับสูง กดดันให้ ECB ต้องตรึงนโยบายการเงินท่ามกลางปริมาณเงินที่หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี (2) เศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มชะลอลงชัดเจนขึ้น ทั้งจาก PMI ของประเทศขนาดใหญ่รวมถึงจีนที่ชะลอต่อเนื่อง และจาก GDP2Q23 สหรัฐฯ ประกาศครั้งที่สองที่ชะลอลงในทุกองค์ประกอบ  (3) ตลาดแรงงานที่เริ่มมีความสมดุลมากขึ้นเห็นทั้งจากตำแหน่งงานเปิดใหม่ที่ปรับลดลงแรงกว่าคาด ขณะที่การจ้างงานเอกชน (ADP) ชะลอแรงเกินคาด 

ทั้งนี้ ตัวเลขการเลิกจ้างค่อนข้างต่ำกว่าในอดีต เนื่องจากผู้ประกอบการเลือกที่จะไม่เปิดตำแหน่งงานใหม่มากกว่าการให้ออกจากงานเนื่องจากเคยเผชิญกับความยากลำบากในการรับคนกลับเข้ามาหลังผ่านช่วงโควิด ด้านของผู้ใช้แรงงานมีจำนวนผู้ออกจากงานลดลงมาก สะท้อนว่าชาวอเมริกันมีความเชื่อมั่นแนวโน้มการจ้างงานในอนาคตลดลง ทั้งนี้ InnovestX มองว่า เงินเฟ้อในระยะต่อไปจะปรับตัวลดลงยากมากขึ้น 

รวมถึงมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้นได้บ้างหากภาวะ El Nino รุนแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางต่าง ๆ คงดอกเบี้ยสูงยาวนานขึ้นและนำไปสู่ปัญหาภาคการเงินได้ ในส่วนของเศรษฐกิจจีนนั้น InnovestX มองว่าเป็นการยากที่รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (หรือมาตรการ Bazooka) เนื่องจาก (1) หนี้ประชาชาติที่สูง ทำให้ PBOC ไม่ต้องการลดดอกเบี้ยรุนแรง (2) การใช้จ่ายภาครัฐขนาดใหญ่ทำได้ยากท่ามกลางรัฐบาลท้องถิ่นที่มีหนี้สูงอยู่แล้ว (3) รัฐบาลกลางไม่ต้องการกระตุ้นแรงเนื่องจาก ปธน. สี จิ้นผิงต้องการให้จีนโตอย่าง “มีคุณภาพ”  InnovestX จึงจะเห็นมาตรการกระตุ้นเพียงเล็กน้อยและไม่เพียงพอที่จะทำให้จีนฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น InnovestX มองว่า SET จะแกว่งตัวในกรอบ 1,550-1,600 จุด ระหว่างรอรัฐบาลใหม่แถลงนโยบายบริหารประเทศ ทั้งนี้แม้ภาพรวมบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะได้รับ sentiment เชิงบวกจากสถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนขึ้น และคาดจะเห็น Fund Flow เริ่มไหลกลับเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงด้านภาคบริการและการค้าของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง รวมถึงภาวะเงินฝืด น่าจะยังเป็นแรงกดดัน SET ให้มี Upside จำกัด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้ 

1) 8 หุ้นเด่นใน 4 อุตสาหกรรมสำหรับโอกาสเก็งกำไรในครึ่งหลังปี 66 ซึ่งคาดกำไรจะเติบโตจากครึ่งปีแรก และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน เลือก PTT, BCP, KCE, HANA, BDMS, BCH, AOT และ ERW

2) หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นช้ากว่า SET เลือก มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ (CPALL, CPAXT, HTC, CRC) มาตรการกระตุ้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (GULF, KTB) และเก็งกำไรมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ (LH)  

3) หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์ Fund Flow ไหลกลับ เลือก KBANK, CPN

ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง  ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC, SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF, GFPT)

Back to top button