เพชรแท้ VS เพชรเทียม.!?
จาก “อัญมณีเลอค่า” บนห่วงโซ่สูงสุดแห่งเครื่องประดับทำให้ “เพชรแท้” จึงกลายเป็นสิ่งอันพึงปรารถนาของเหล่าบรรดาอิสตรีทั่วทุกมุมโลก
จาก “อัญมณีเลอค่า” บนห่วงโซ่สูงสุดแห่งเครื่องประดับทำให้ “เพชรแท้” (เพชรจากธรรมชาติ) จึงกลายเป็นสิ่งอันพึงปรารถนาของเหล่าบรรดาอิสตรีทั่วทุกมุมโลก นั่นจึงทำให้ราคา “เพชรแท้” จึงต้องเลอค่าราคาแพงระยับตามไปด้วย แต่ว่ามาถึงวันนี้ “เพชรแท้” กำลังถูกท้าท้ายจาก “เพชรเทียม” (เพชรสังเคราะห์) ที่เริ่มเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดเพชรแท้ มากขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงปีที่ผ่านมา
ข้อมูลจาก Global Rough Diamond Price Index ระบุว่าราคาเพชรปรับตัวลง 18% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เคยทำสถิติไว้ช่วงเดือน ก.พ. 65 และนับตั้งแต่ต้นปี 2566 มาจนถึงขณะนี้ราคาเพชรลดลงกว่า 6.5% ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญแวดวงการตลาดเพชรประเมินสถานการณ์ว่า “มูลค่าของเพชรจะลดลงอีก” ในอนาคต
“พอล ซิมมินสกี” ซีอีโอใหญ่ Paul Zimnisky Diamond Analytics ระบุว่า เพชร 1 กะรัตที่มีคุณภาพสูงกว่าระดับเฉลี่ยเล็กน้อย มีราคาอยู่ที่ 6,700 ดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว แต่มาวันนี้ เพชรคุณภาพเดียวกัน มีราคาขายอยู่ที่เพียง 5,300 ดอลลาร์เท่านั้น
“ราคาเพชร” รวมถึงอัญมณีชนิดต่าง ๆ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด โดยพุ่งแตะจุดสูงสุด ช่วงต้นปี 2565 ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท Bain & Company แสดงความเห็นเรื่องนี้ว่า
“นั่นเป็นเพราะผู้บริโภคพร้อมที่จะจ่าย โดยพวกเขามีเงินสดจำนวนมาก จากการที่ตลาดทุนเฟื่องฟูและผลพวงของการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงทำให้บรรดาหญิงสาว ที่มีกำลังซื้อสามารถซื้อสิ่งของต่าง ๆ ที่พวกเธอต้องการครอบครอง”
ขณะที่ “แอนเคอร์ ดากา” ซีอีโอของ Angara Jewelry ระบุว่า เมื่อประชาชนไม่สามารถเดินทางหรือออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านได้ช่วงโควิด-19 เงินที่มีอยู่มากเกินพอเหล่านี้ จึงทุ่มไปกับสินค้าหรูหราและอัญมณีต่าง ๆ และเมื่อหลายประเทศกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง “ราคาเพชร” เริ่มทรงตัวและปรับลงรุนแรง
โดยอีก 12 เดือนข้างหน้า “ราคาเพชรแท้” จะปรับลงหนักสุดประมาณ 20-25% จากระดับปัจจุบัน หากเป็นไปตามคาดเท่ากับว่า ราคาเพชรแท้ จะปรับลงมากถึง 40% จากระดับสูงสุดช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม มองว่า การแข่งขันที่เป็นไปอย่างดุเดือดอย่างต่อเนื่องใน “ตลาดเพชร” ที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ ประกอบกับเศรษฐกิจจีน ที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาค ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้ “ตลาดเพชร” เริ่มซบเซาลง
ขณะนี้มีผู้บริโภคจำนวนมากขึ้น หันไปซื้อเพชรเทียมที่ผลิตในห้องแล็บ ทำให้ “เพชรเทียม” มีส่วนแบ่งตลาดสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเพชรธรรมชาติ โดยปี 2563 ส่วนแบ่งตลาดเพชรเทียม มีเพียง 2.4% แต่นับตั้งแต่ต้นปี 2566 จนถึงขณะนี้ ส่วนแบ่งตลาดของเพชรเทียมพุ่งขึ้นเป็น 9.3%
โดย “เพชรเทียม” ที่ผลิตจากห้องแล็บเป็นวัตถุที่มีเคมีเป็นองค์ประกอบ กลายเป็นเพชรทางเลือก ที่จะมาแทนที่เพชรแท้ ที่สำคัญคือมีราคาถูกกว่ามาก นั่นจึงมีผู้คนจำนวนมากหันไปซื้อ “เพชรเทียม” แทน กรณี “เพชรของรัสเซีย” ถูกคว่ำบาตรโดยชาติสมาชิกกลุ่ม G7 ไม่น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ “ราคาเพชรแท้” ปรับขึ้นมากนัก
อย่างไรก็ดีนักวิเคราะห์ ประเมินว่า สถานการณ์ “เพชรเทียม” ที่กำลังขายดีกว่า “เพชรแท้” น่าจะเป็นเพียงปรากฏการณ์ระยะสั้น ๆ เพราะตอนนี้ลูกค้าเลือกเพชรเทียม เพื่อให้เหมาะสมกับสถานะทางเศรษฐกิจตัวเอง และระยะยาวลูกค้ากลุ่มนี้เป็นคนละกลุ่มกับลูกค้าระดับไฮเอนด์ ที่จะเลือกซื้อหรือสะสมเฉพาะเพชรแท้อย่างเดียวเท่านั้น..
ว่าแต่ว่า..เพชรแท้ & เพชรเทียม..จะพิสูจน์กันอย่างไรดีน๊า..!!??