ชำแหละเนื้อในธุรกิจกลุ่มปตท.
PTT เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของกลุ่ม ในครึ่งแรกของปี 2566 อาจเรียกได้ว่าไม่ดีนัก
เส้นทางนักลงทุน
บมจ.ปตท. หรือ PTT เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) จะสร้างกำไรจากธุรกิจใหม่ (New S-Curve) ซึ่งประกอบด้วย พลังงานสะอาด, ธุรกิจกักเก็บพลังงาน, ธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า, ธุรกิจกลุ่มไลฟ์สไตล์ เช่น ยา อาหารประเภท Plant-based และธุรกิจโลจิสติกส์ ให้ได้ไม่น้อยกว่า 30% ขณะที่ธุรกิจเดิมจะลดสัดส่วนลงเหลือ 70%
แต่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อรอให้ New S-Curve ผลิดอกออกผล ธุรกิจดั้งเดิมจำเป็นต้องแข็งแกร่งและรักษาความสามารถในการทำกำไรในระดับสูงด้วย ทั้งนี้ หากพิจารณาผลการดำเนินงานของกลุ่มบมจ.ปตท ในครึ่งแรกของปี 2566 อาจเรียกได้ว่าไม่ดีนัก มีตัวถ่วงฉุดรั้งทำให้งวดไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกออกมาไม่สวย
PTT มี EBITDA ไตรมาส 2 อยู่ที่ 9.3 หมื่นล้านบาท ลดลง 11% จากไตรมาสก่อน และลดลง 49% จากงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่มีกำไรสุทธิลดลงจากธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น (P&R) และค่าใช้จ่ายพิเศษที่สูงขึ้น ทำให้ลดลง 28% จากไตรมาสก่อน และ 48% จากงวดปีก่อน มาอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท
สำหรับ 6 เดือนแรกปีนี้ PTT มี EBITDA ลดลง 39.3% หรือจำนวน 127,056 ล้านบาท ลงมาเหลือ 196,633 ล้านบาท จาก 323,689 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ขณะที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 47,962 ล้านบาท ลดลง 15,673 ล้านบาท หรือ 24.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 63,635 ล้านบาท ผลกระทบหลัก ๆ มาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น เนื่องจากธุรกิจการกลั่นมีผลการดําเนินงานลดลงจากผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น
โดยมีขาดทุนสต๊อกน้ำมันประมาณ 10,000 ล้านบาท ในขณะที่ครึ่งปีแรกของปี 2565 มีกําไรประมาณ 47,000 ล้านบาท รวมทั้งค่าการกลั่น (Market GRM) ลดลงจาก 13.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในครึ่งปีแรกของปี 2565 เป็น 6.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ใน 6 เดือนแรกปี 2566 จากส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน น้ำมันอากาศยาน และน้ำมันดิบปรับลดลง แม้ว่าปริมาณขายเพิ่มขึ้น รวมทั้งผลการดําเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวลดลงจากกลุ่มโอเลฟินส์ จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับลดลง รวมทั้งปริมาณขายลดลง
ในขณะที่กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลงจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ เนื่องจากต้นทุน ค่าเนื้อก๊าซฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาก๊าซฯ ในอ่าว ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยลดลงทุกผลิตภัณฑ์ รวมถึงปริมาณการขายที่ลดลง นอกจากนี้ธุรกิจระบบท่อส่งก๊าซฯ มีกําไรขั้นต้นที่ลดลงจากการปรับอัตราค่าผ่านท่อ
แยกพิจารณาเป็นรายธุรกิจของ PTT ในงวดไตรมาส 2 พบว่า ธุรกิจก๊าซฯ ของ PTT ผลการดำเนินงานลดลง EBITDA อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยหลักจากกำไรขั้นต้นของธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ (S&M) ที่ดีขึ้นตามปริมาณขายลูกค้ากลุ่มโรงไฟฟ้า และต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ปรับลดลง เช่นเดียวกับธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ (GSP) กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ในอ่าวไทยปรับลดลง รวมถึงธุรกิจ NGV มีผลขาดทุนลดลงต่อเนื่องจากการปรับเพิ่มราคาขาย
ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ผลการดำเนินงานลดลงจากปริมาณขาย และราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลง, ธุรกิจ P&R ผลการดำเนินงานลดลงจากธุรกิจการกลั่นขาดทุนสต๊อกน้ำมันและ Market GRM ลดลงตามส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน น้ำมันอากาศยาน และน้ำมันดีเซล ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวลดลงตาม product spread ทั้งกลุ่มโอเลฟินส์ และอะโรมาติกส์
ธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก ผลการดำเนินงานลดลงจากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรปรับตัวลดลง โดยหลักจากน้ำมันอากาศยานที่ราคาขายมี Lag-time 1 เดือน, ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ผลการดำเนินงานลดลง EBITDA อยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท ลดลง 42% จากไตรมาสก่อนเป็นผล margin ของธุรกรรม out-out trading ต่ำลง
ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน ผลการดำเนินงานลดลงจากธุรกิจไฟฟ้า เนื่องจากการปรับลดค่า Ft งวดเดือน พ.ค.-ส.ค. และการปิดซ่อมโรงไฟฟ้า Glow Phase 5 ตามแผน
ในส่วนของรายการพิเศษ ได้แก่ 1) ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันของกลุ่ม 4 พันล้านบาท 2) กำไรจากธุรกรรมป้องกันความเสี่ยง 1.6 พันล้านบาท 3) ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 7.9 พันล้านบาท 4) ส่วนลดจากสัญญารับก๊าซฯ Shortfall 20 ล้านบาท ถ้าหักออกกำไรปกติอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท ดังนั้นรวมกำไรสุทธิงวดครึ่งแรกของปีนี้จะอยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท ลดลง 25% จากงวดไตรมาสก่อน
หากมองแนวโน้มไตรมาส 3 ปี 2566 บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด คาดกำไรจะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน มีปัจจัยหนุนหลักจากธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่จะดีขึ้นตามค่าการกลั่นและบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน นอกจากนี้คาดว่าธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ จะมีอัตรากำไรดีขึ้นหนุนจากราคาเนื้อก๊าซฯ ในอ่าวไทยทยอยลดลง ช่วยชดเชยธุรกิจ E&P ที่คาดว่าจะอ่อนตัวลงตามราคาก๊าซฯ และต้นทุนการผลิตต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ กำไรครึ่งแรกคิดเป็น 48% ของทั้งปีนี้ จึงคงประมาณการกำไรปี 2566-2567 ที่ 1 แสนล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน และ 1.02 แสนล้านบาท เติบโต 2% จากปีก่อน ตามลำดับ ราคาเหมาะสมปีนี้อยู่ที่ 41 บาท แนะนำ “ซื้อ”
ดังนั้น หากมองผลงานงวดไตรมาส 2 กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นฉุดรั้งกำไรกลุ่มปตท.