สมภารกินไก่วัดแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
ตลาดหุ้นไทย ไม่เคยขาดเรื่องฉาวให้แฉ แม้บางวันอาจจะมีเรื่องดีแทรกปนเข้ามาบ้าง
ตลาดหุ้นไทย ไม่เคยขาดเรื่องฉาวให้แฉ แม้บางวันอาจจะมีเรื่องดีแทรกปนเข้ามาบ้าง
ข้อกล่าวหาเหยื่อรายล่าสุดของ ก.ล.ต. นี่พุ่งตรงไปที่หมอใหญ่ซะด้วย ชื่อดัง แม้จะไม่เป็นข่าวบ่อยครั้ง
นายแพทย์เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) หรือ RAM หุ้นขาดสภาพคล่องราคาสูงลิ่วนั่นแหละ…แถมยังถือหุ้นใหญ่ด้วย
ตอนนี้ กลายเป็นอดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทไปแล้ว…เรียบร้อย ก.ล.ต.
เหตุผลเพราะถูกข้อหาร้ายแรงในคดีอาญาว่าทำตนเป็น “สมภารกินไก่วัด” ที่ไม่ชอบมาพากล
ขั้นตอนนี้ หมอเอื้อชาติ ถูกก.ล.ต. กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ยังไม่ได้ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลจนคดีถึงที่สุด ตามระเบียบแล้วต้องหลุดจากตำแหน่งบริหารทั้งหมด
…ส่วนจะไปเป็นคนเชิดหุ่นหรือไม่…. ก.ล.ต. ไม่ได้บอกเอาไว้…มันเกินอำนาจจ้า
เรื่องมันเริ่มมาจากเจ้าหน้าที่ ก.ล.ต.ไปตรวจเจอว่า หมอเอื้อชาติ ในฐานะกรรมการผู้จัดการ RAM ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินงานและจัดการทรัพย์สินของ RAM ซึ่งรวมถึงแผนกที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน เนื่องจากบริษัทที่กำไรดี มีเงินสดเหลือ สามารถเอาไป ตั้งแผนกTreasury Unit เพื่อให้ทุนงอกเงยขึ้นมา
ปรากฏว่าในพอร์ตลงทุนของRAM มีหุ้น ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP จำนวนหนึ่ง ที่ RAM ลงทุนซื้อไว้นานแล้ว (ไม่ได้บอกว่านานแค่ไหน) ซึ่งก็มีการจัดการขายออกไป…เมื่อปลายปี 2555
อะโห… ขายไปตั้ง3 ปี เพิ่งมาเจอ…ช่างว่องไว สมกับเป็น ก.ล.ต.จริงๆ
เก่งจุงเบย
ประเด็นคือ ราคาที่ขายออกไป (ไม่ได้บอกอีกว่าราคาเท่าไหร่) นั้น เป็นราคาที่ขาดทุน แถมไม่ขาดทุนเปล่า หากยังขายราคาต่ำกว่าราคาตลาดตอนวันที่ขายอย่างมีนัยสำคัญ ให้แก่บุคคลอื่นที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้อง และมีผลประโยชน์ร่วม (ไม่บอกอีกเช่นกันว่าเป็นใคร)
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้มีส่วนร่วมบริหารไม่มีทางรู้ คือ ทำให้ RAM ได้รับความเสียหายเบื้องต้นคิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท …นี่ก็ไม่ได้บอกอีกว่าราคาขายขาดทุนนั้นต่ำกว่าต้นทุนที่ซื้อมา หรือว่าเป็นความเสียหายที่คิดค่าเสียโอกาสไปด้วย
ที่ร้ายกว่านั้น หมอเอื้อชาติยังได้รับประโยชน์จากการกระทำอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย…ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
ความหมายของ ก.ล.ต. ตีความได้หลายนัยคือ หมอเอื้อชาติอาจได้รับค่าต๋งจากการขาย หรือได้ส่วนแบ่งทางอ้อมร่วมกับคนซื้อจริง ที่อาจจะเป็นคนในครอบครัวหรือนอมินีของหมอเอง… แต่ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงคืออะไร
ที่แน่ๆ ข้อกล่าวหาของ ก.ล.ต. คือ มีการไซฟ่อน (ผ่องถ่าย) ทำให้ RAM ขาดทุนจากการขายหุ้น แล้วหมอเอื้อชาติ เอากำไรเข้ากระเป๋าเองบางส่วน (…ส่วนน้อยหรือส่วนมาก??…)
ข้อหานี้เข้าข่าย…ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ระมัดระวัง และซื่อสัตย์สุจริต ทำการทุจริตแสวงหาประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือบุคคลอื่นทำให้บริษัทเสียหาย และกระทำหรือยินยอมให้มีการทำผิดเกี่ยวกับเอกสารของบริษัท
ตามกฎหมายแล้ว ก.ล.ต. ตีความออกมาว่า “เป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 89/7 ซึ่งมีระวางโทษตามมาตรา 281/2 วรรคสอง มาตรา 307 มาตรา 311 และมาตรา 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535″
ถือเป็นคดีอาญา… ส่วนจะพ่วงคดีแพ่งหรือไม่… และผู้ถือหุ้นอื่นๆ ของ RAM จะขอเป็นโจทก์ร่วมได้หรือไม่… ต้องถามนักกฎหมายกันดู
ช่วงเวลาหลังจากการขายหุ้นKKP ขาดทุนไปแล้วนั้น หมอเอื้อชาติยังถูกกล่าวหาว่า “ได้กระทำหรือยินยอม ให้มีการไม่ลงข้อความสำคัญในเอกสารของ RAM เพื่อหลีกเลี่ยงไม่แสดงข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นกับ RAM ไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินของบริษัทจำนวน 4 งวด ได้แก่ งวดปี 2555 งวดไตรมาส1/2556 งวดไตรมาส 3/2556 และงวดปี 2556 ซึ่งเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 312 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ”
ปกปิดผู้ถือหุ้นไม่ให้รู้ความจริงอย่างนี้ …ธรรมาภิบาลหมอใหญ่ติดลบวูบวาบ
ที่น่าสนใจ คือ เมื่อเดือนธันวาคม 2557 หมอเอื้อชาติได้ชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ RAM แล้ว…แสดงว่า (และตีความได้ว่า) เพราะรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว…หนูขอโทษ
น่าเสียดาย การชดเชยดังกล่าว เป็นการชดเชยหลังจากที่ ก.ล.ต. ตรวจพบความผิด… ถือเป็นความผิดที่สำเร็จไปแล้ว… จะปล่อยเลยตามเลยไม่ได้ในมุมของกฎหมาย
ว่ากันตามขั้นตอน (ตัวอย่างล่าสุดก็มีให้เห็น) ข้อกล่าวหานี้ ถ้าผู้บริหารรับสารภาพ ยอมเสียค่าปรับตามที่ ก.ล.ต.สั่งการมาเรื่องมันก็จบขั้นตอน ไม่ต้องไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อ… ซึ่งอาจจะจบที่อัยการหรือศาล
กรณีหมอเอื้อชาติ…เชื่อได้ก่อนเลยว่า เกิดอาการไม่ยอมเสียค่าปรับ…จะด้วยเพราะโทษปรับมันมีมูลค่าแรงเกิน ขอไปตายเอาดาบหน้า… หรือเพราะไม่มีทางเลือกประนีประนอมด้วยการปรับอย่างเดียว เรื่องจึงยกระดับขึ้นไป
ตามขั้นตอนมาถึงตรงนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว…กฎหมายบอกชัดว่าช่วงระยะเวลาการกล่าวโทษดำเนินคดี ถือว่าหมอเอื้อชาติเข้าข่าย “มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน” จึงไม่สามารถเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนได้
เก้าอี้หลุดโดยทันที
แต่… ชีวิตย่อมมี แต่… นี่เป็นแค่ข้อกล่าวหา ยังไม่ใช่คำตัดสินสุดท้าย
ดังที่ทราบกันดี 99.98% ของข้อกล่าวหา ที่ก.ล.ต.ส่งไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือศาล ผู้ถูกกล่าวหา…รอดคดี… จะด้วยอะไรก็ยัง มึน จัง แก
ฉะนั้น กรณีนี้จึงไม่การันตีว่า หมอเอื้อชาติจะจบลงในทางลบเสมอไป เพราะอาจจะเป็นแค่…เชื่อได้ว่า “บกพร่องโดยสุจริต” ก็ได้ ใครจะรู้อนาคต
ไม่อย่างนั้น ก.ล.ต. คงไม่ออกตัวไว้ก่อนหรอกว่า “..ทั้งนี้ การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรมตามลำดับ…”
อย่าเพิ่งเดิมพันว่า หมอเอื้อชาติจะไม่สามารถกลับมาเป็น “สมภาร” ได้อีกนะจ๊ะ