ทุกขลาภ???แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

ผลการประมูล 4G ย่านความถี่ 900 MHz จบลงไปแล้วดังที่ทราบกันดี เมื่อเวลา 00.00 น.ของคืนวันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม และกสทช.ก็ประกาศรับรองผลไปเรียบร้อย หลังจากผ่านรอบที่ 198 ไปแล้ว ใช้ระยะเวลารวมในการเคาะราคามาราธอน ทั้งหมด 87 ชั่วโมง 20 นาที 

ที่พลิกล็อกวินาศสันตะโรที่สุดคือผู้ชนะการประมูลใบอนุญาตแรก ได้แก่ บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด ด้วยราคา 75,654 ล้านบาท

ส่วนใบอนุญาตใบที่ 2 ไม่แปลก …เพราะ บริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ซึ่งชนะการประมูลด้วยราคา 76,298 ล้านบาท หมายมั่นปั้นมือจะเป็นเจ้า 4G มาแต่ต้น

จากทีแรกใครก็ว่า จะแค่ “ชนะใจคนดู“ ตอนนี้ JAS กลายมาเป็นผู้ชนะจริงมั่ง แม้จะผิดฝาผิดตัวนิดหน่อย เพราะเดิมทีตั้งใจจะเอาใบอนุญาต 4G คลื่น 1800 MHz แต่ไม่ได้ ทำให้มีคำถามตามมาว่า ที่มีคนปรามาสก่อนการประมูลว่า จะไม่ได้มากกว่าได้ เพราะชัยชนะริบหรี่ ความพร้อมน้อยกว่าเพื่อน 

แถมยังมีนักวิเคราะห์ช่วยกันซ้ำเติมอีกว่า ถ้าได้ขึ้นมา หายนะรออยู่…

บางคนยังบอกอีกว่า ถ้าไม่ได้ ผู้ถือหุ้นเตรียมเปิดกระเป๋ารอลุ้นปันผลพิเศษปลอบใจ  เพราะมีเงินสดตุนไว้เกินความจำเป็นกว่า 8.74 พันล้านบาท…. เอากันถึงขั้นนี้เลย

ร้ายกว่านั้น หลายรายมองไกลถึงขั้นบอกว่า ถ้าได้ ราคาหุ้น JAS จะลงไปที่ 3 บาทเลยทีเดียว

ตรงข้ามกัน ผู้บริหาร JAS กลับมีมุมมองอีกขั้วว่า เดิมทีนั้นธุรกิจหลักของ JAS  คือ การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคม จัดหา-ออกแบบและวางระบบ และทำธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากมีคลื่น 4G มา จะทำให้ JAS หลังชนฝา เสียโอกาสมหาศาล จากการที่ถูก 4G แย่งลูกค้าไว-ไฟ หรืออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ไปมากมาย 

มีตัวอย่างให้เห็นมาเยอะในหลายประเทศแล้ว

เพื่อป้องกันตัวล่วงหน้า แม้จะมีต้นทุนแพงขึ้น การเอาชนะด้วยการคว้าใบอนุญาต 4G แม้เพียง 1 ใบ จากทั้งหมด 4 ใบที่เปิดประมูล ก็จะช่วยส่งเสริมธุรกิจและฐานรายได้ของบริษัทให้เติบโตก้าวกระโดดได้ โดยผู้บริหารประเมินว่า การลงทุน 4G น่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 3 ปีนับจากวันที่เริ่มลงทุน โดยตั้งเป้าหมายฐานลูกค้าในช่วงแรก 1-2 ล้านราย   

พูดตามประสามวยรอง ก็พอเรียกเสียงเชียร์ประปราย ….แต่เซียนในวงการ ระดับเทียบเคียงกับ “เอ็ดดี้ ไม่มีจะหมด“ ส่ายหน้ากันเกรียว บอกว่า นั่นมันภาพยนตร์ดราม่า แอ็กชั่น อย่าง Mission Impossible แล้วจ้า

กรณีของ JAS นี้ ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. เอง เคยเขียนวิเคราะห์ไว้แหลมคม (ไม่เอ่ยชื่อตรงๆ แต่รู้กัน) ว่า JAS ในฐานะรายใหม่ ต้องการเข้าสู่ตลาดในทุกระดับราคา แม้จะมีต้นทุนโครงข่ายสูงกว่ารายเก่าที่มีต้นทุนโครงข่ายเดิมและยังต้องทำการตลาดใหม่หมด แต่…สามารถร่วมมือเป็นพันธมิตรกับรายเก่าบางรายอย่างไม่เปิดเผย ใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน หรือโรมมิ่งบริการกัน เพื่อลดต้นทุน และอาจมีการขายส่งบริการระหว่างกัน ทำให้ลดภาระในการทำตลาดใหม่

เพียงแต่…ถึงวันเริ่มประมูลจริง พิชญ์ โพธารามิก บอสใหญ่ค่าย JAS ที่เคยเป็นเดี่ยวมือหนึ่งมาตลอด กลับหายหน้า ไม่โผล่มาร่วมวงด้วย มาแต่เดี่ยวมือรอง… ทำให้กองเชียร์ใจแป้วไปตามๆ กัน… งานนี้ JAS ถอดใจแพ้ ยกธงขาวตั้งแต่ต้น

ผิดคาด การที่เดี่ยวมือหนึ่งไม่มา…กลายเป็นกลยุทธ์ สับขาหลอก …หน้าตาเฉย เพราะมือรอง…เคาะแหลก มือเป็นระวิง ได้ใบอนุญาตมาครองสมใจ… เซียนอยู่รู หมูอยู่ตึก 

ส่วนจะเป็น “ทุกขลาภ” หรือไม่…พิชญ์ โพธารามิก ไวพอๆ กับกามนิตหนุ่ม พาผู้บริหารนั่งแถลงเมื่อวานนี้ ในยามที่หุ้นร่วงหลุดไปใต้ 4 บาท สาระสำคัญ ประมวลได้ว่า

– JAS ยืนยันไม่เพิ่มทุน แต่อาจจะเพิ่มทุนบริษัทลูกที่ได้ใบอนุญาตมา ผู้ถือหุ้นไม่ต้องกังวล เผยจะระดมเงินผ่านบริษัทย่อย 

– JAS จะเช่าเสาโครงข่ายจาก รสก.ของรัฐ และสร้างเองในบางจุด ลดต้นทุน

– JAS คาดเปิดตัวมือถือแบรนด์ใหม่เร็วที่สุดในปีหน้า 

– JAS จะมีพันธมิตรต่างชาติเข้าร่วมทุนผ่าน แจส โมบาย บรอดแบนด์ แต่ยังอุบรายชื่อ 

-JAS ตั้งเป้าลูกค้า 4G ปีแรก 2 ล้านราย ก่อนเพิ่มเป็น 5 ล้านรายภายใน 3 ปี 

-JAS เปิดช่องพาร์ตเนอร์เข้ามาร่วมใน “แจส โมบาย บรอดแบนด์” หลังจากนำเข้าตลาดหุ้น 

-JAS คาดใช้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาโครงข่าย 4G ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทภายใน 3 ปี 

-JAS คาดปี 61 เริ่มมีกำไรจากการลงทุน 4G บนฐานลูกค้า 5 ล้านราย

แถลงกันขนาดนี้ นักวิเคราะห์และนักลงทุนยังไม่เชื่อ  แถมยังเสียงแตกอีกว่าราคาเหมาะสมควรเท่าใด… ต่างกันชนิด 10.00 บาท กับ 0.81 บาท … ก็หมดไส้หมดพุง

อุตส่าห์หามาให้ดู ทั้งหมอนรองหัว และหมอนรองก้น ว่าเมื่อจำเป็นต้องสู้แบบหลังชนฝาแล้ว มีทางเลือก 2 ทางเท่านั้นคือ มีเจ็บ และ มีเสียว 

ดังนั้น ในสถานการณ์อุตลุดอย่างนี้ คนชอบสอดส่ายสายตา ก็คงจะต้องตามดูกันต่อว่า ลาภที่ได้มาจากชัยชนะของการประมูล 4G รอบนี้ คนถือหุ้น JAS จะใช้ “หมอนรองก้น” เพิ่มความเสียวมากขึ้น หรือ เพิ่มความเจ็บกันแน่

ระหว่าง “อย่าทำข้อย“  กับ “อย่าทำค่อย“ อ่านออกเสียงเหมือนกันซะด้วยสิ…อิ อิ อิ