15 หุ้น หลบฝรั่งขาย

วานนี้นักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิอีก 2,661 ล้านบาท ส่งผลในช่วง 30 วัน (ทำการ) ต่างชาตจิขายหุ้นไทยออกมาแล้ว 28,935 ล้านบาท


วานนี้นักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิอีก 2,661 ล้านบาท

ส่งผลในช่วง 30 วัน (ทำการ) ต่างชาติขายหุ้นไทยออกมาแล้ว 28,935 ล้านบาท

ปัจจัยที่มีการวิเคราะห์ถึงการขายของต่างชาตินั้น

มาจากประเด็นความกังวลที่ไทยอาจถูกบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ลดเครดิตเรตติ้ง หรือปรับมามีมุมมองเชิงลบ จากเรื่องเงินดิจิทัลคนละ 1 หมื่นบาท

เพราะอาจไปสร้างหนี้สาธารณะเพิ่ม

และเป็นเหตุให้ถูกปรับมุมมองเชิงลบ

สมมุติว่า หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง จะส่งผลต่อต้นทุนในการออกพันธบัตรของรัฐบาลที่อาจจะสูงขึ้น

ส่วนอีกปัจจัยมาจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังทรงตัวระดับสูง

หากเทียบกับผลตอบแทนตลาดหุ้นไทย

ถือว่าห่างกันค่อนข้างมาก หรือประมาณ 3-4% เขาจึงเลือกที่จะนำเงินออกไปก่อน

นอกจากสองปัจจัยที่ว่ามาแล้ว

อาจจะมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาผสมด้วย ทั้งทิศทางผลประกอบการ บจ.ไทย จีดีพี อาจะเติบโตต่ำกว่าเป้า และ ฯลฯ

ยังไม่มีการประเมินออกมาแน่ชัดว่าต่างชาติจะหยุดขายเมื่อไหร่

ตอนนี้ทำได้เพียงคำแนะนำให้นักลงทุนรั้งหุ้นที่ต่างชาติถือครองสูงเท่านั้น

พร้อมกับหันไปลงทุนในหุ้นที่ไม่มีสัดส่วนการลงทุนของต่างชาติมากนัก

มีมุมมองจาก บล.เอเซีย พลัส ที่บอกว่าปัจจุบันต่างชาติถือหุ้นไทยน้อยลง โดยถือครองทางตรงเพียง 23.9% (หรือถือครองเพียง 18.7% กรณีไม่รวมหุ้น DELTA)

แต่มีการซื้อขายหุ้นไทยที่ร้อนแรงมาก

ล่าสุดมีสัดส่วนการซื้อขายหุ้นไทย 50.8% สูงกว่านักลงทุนรายย่อย + พอร์ตโบรกเกอร์ + นักลงทุนสถาบันฯ ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 49.2% (ส่วนหนึ่งมาจากการซื้อขายผ่านระบบ Algo Trade ที่สูงขึ้นเป็น 35% ของการซื้อขายทั้งหมดในตลาด) หนุน Turnover สูงขึ้นมาก

ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติหมุนการซื้อขายหุ้นไทยสูงถึง 2.47 เท่า ของนักลงทุนไทยทั้งหมด

ผิดกับช่วง 10 ปี ที่แล้ว ที่ต่างชาติยังซื้อขายหุ้นไทยน้อยกว่าคนไทยพอสมควร 

ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้หุ้นขนาดใหญ่บางตัว ณ ปัจจุบัน มีการแกว่งตัวระหว่างวันราว บวก/ลบ 3-4% ได้

และผิดกับในอดีตที่แกว่งตัวราว ± 1-2% เท่านั้น 

ดังนั้น เอเชีย พลัส จึงคัดกรองหุ้นพื้นฐานดี หลบความผันผวนจากการซื้อขายแรงของนักลงทุนต่างชาติ

พร้อมกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ดังนี้

เป็นหุ้นที่ปัจจุบันต่างชาติถือน้อยกว่า 25% ของจำนวนหุ้นจดทะเบียน

– เป็นหุ้นพื้นฐานแข็งและแนะนำเพิ่มน้ำหนัก และมีอัพไซด์

– ได้รับกระแสบบวกหนุนจากธีมต่าง ๆ อาทิ ปันผลสูง, เศรษฐกิจจีนฟื้น และการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่

หุ้นที่แนะนำได้แก่ 1.บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) SC

2.บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) TTW

3.บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ORI

4.บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) LH

5.บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI

6.บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) AP

7.บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) SCGP

8.บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA

9.บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) III

10.บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM

11.บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน) TTCL

12.บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) CK

13.บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) CPN

14.บริษัท ดิเอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ERW

และ 15. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT

Back to top button