เหตุแห่งตลาดหุ้นป่วย
ตลาดหุ้นปีนี้ นักลงทุนต่างชาติซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่กว่า 50% ในตลาดหุ้นไทย ทำบันทึกสถิติเป็น “ผู้ขายสุทธิ” 8 เดือนติดต่อกัน
ตลาดหุ้นปีนี้ นักลงทุนต่างชาติซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่กว่า 50% ในตลาดหุ้นไทย ทำบันทึกสถิติเป็น “ผู้ขายสุทธิ” 8 เดือนติดต่อกัน นับแต่เดือน ก.พ.เป็นต้นมา ยอดสะสมจากต้นปีถึงปัจจุบัน ขายสุทธิไปกว่า 1.5 แสนล้านบาทแล้ว
ดัชนีหลักทรัพย์ฯ จากต้นปีมาปัจจุบันก็ปรับลดลงไปกว่า 170 จุดแล้ว สถานการณ์ทั้งภายนอก ภายใน รวมทั้งปัจจัยนโยบายรัฐบาลใหม่ ยังไม่ส่งผลบวกต่อตลาดเลย นักลงทุนเล่น “ไม่ชนะตลาด” สักที
ความเห็นของนายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติกำลังรอผลการทบทวนอันดับเครดิตรายปีประเทศไทย จึงชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไว้ก่อน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์
สิ่งที่บริษัทจัดอันดับเครดิตให้ความสำคัญในการประเมินในรอบนี้ได้แก่ เพดานหนี้สาธารณะ ภาพรวมหนี้ครัวเรือน และการรักษาวินัยทางการเงินการคลังของรัฐบาล
“หากการประเมินออกมาในเชิงลบโดยปรับอันดับเครดิตลดลง จะมีความเสี่ยงต่อตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญแน่นอน ดังนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ รัฐบาลต้องชัดเจนเรื่องของแหล่งที่มาทางการเงิน และแผนการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ” นายบุรินทร์ กล่าว
บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้ง “ฟิทช์ เรทติ้งส์” และ “มูดี้ส์” ออกคำเตือนก่อนหน้านี้ว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ของไทย อาจทำให้ระดับ “หนี้สาธารณะ” เพิ่มสูงขึ้น และอาจทำให้ฐานะการคลังอ่อนแอลง จึงบั่นทอนความเชื่อมั่น และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินทุนไหลออกในระยะนี้
ดูไปแล้ว ก็เข้าเกณฑ์เฉียดฉิวกับการปรับประเมินจากบริษัทเครดิต เรตติ้งจริง ๆ คงไม่ถึงขั้นปรับลดอันดับ แต่อาจปรับทัศนคติเชิงลบ
ต้องขอบอกว่า สัญญาณสุ่มเสี่ยงต่าง ๆ ก็เป็นผลต่อเนื่องกันมาตั้งแต่รัฐบาลชุด 9 ปีที่แล้ว รัฐบาลนี้เข้ามาก็ต้องแบกรับภารกิจทั้งแก้ปัญหาหนี้สินสาธารณะ การเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
การฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ GDP เติบโตปีละ 5% ต้องทำให้ได้ ไม่งั้นประเทศจะตกฐานะหนี้สินล้นพ้นตัว เพดานการก่อหนี้ 70% เอาไม่อยู่แน่ ๆ
รัฐบาลชุดนี้ เพิ่งเข้ามาบริหารงานได้เพียง 3 สัปดาห์ ได้ทำการเดินเครื่องนโยบายออกมาหลายอย่างก็จริง แต่ล้วนเป็นนโยบายแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพียงดับร้อนชั่วคราวเท่านั้น อาทิ ลดราคาน้ำมัน-ค่าไฟ และพักหนี้เกษตรกรที่มีวงหนี้ไม่เกิน 3 แสนบาทเป็นเวลา 3 ปี
ไม่ได้มีผลในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนแต่ประการใด
นโยบายที่กำลังเป็นที่จับตาดูทั้งคนในประเทศและนอกประเทศ ก็คือนโยบายแจกกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็จะมีหนี้สินก้อนใหญ่ถึง 5.6 แสนล้านบาทตามมาด้วย
หากรัฐบาลเรียกความเชื่อมั่นในการบริหารเศรษฐกิจได้ ตลาดหุ้นคงจะดีวันดีคืนได้เป็นลำดับ