ดูอินโดฯ เหลียวมองไทย
อินโดนีเซีย ชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน ได้บรรลุความสำเร็จในการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าความเร็วสูง เส้นทางจาการ์ตา-บันดุงบนเกาะชวา
อินโดเนเซีย ชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน ได้บรรลุความสำเร็จในการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าความเร็วสูง เส้นทางจาการ์ตา-บันดุงบนเกาะชวา ระยะทาง 142 กิโลเมตรแล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา
นับเป็นชาติที่ 2 ในอาเซียนต่อจากลาว ส่วนของไทย เส้นทางกรุงเทพฯ-เวียงจันทน์ ลงมือก่อสร้างแล้ว แต่ยังไม่มีกำหนดการแล้วเสร็จ
การเปิดบริการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางจาการ์ตา-บันดุง ช่วยประหยัดระยะเวลาการเดินทางจาก 5 ชั่วโมงโดยรถยนต์ และ 3 ชั่วโมงโดยรถไฟธรรมดา ลงมาเหลือแค่ 45 นาทีเท่านั้น
ช่วยประหยัดเวลาการเดินทางลงได้มาก ส่งเสริมคุณภาพชีวิต กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค และพัฒนาธุรกิจการค้าและการลงทุน
รัฐบาลอินโดฯ ประกาศเริ่มต้นโครงการในปี ค.ศ. 2016 และตั้งเป้าดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2019 มูลค่าลงทุนตั้งไว้เดิมที่ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ประสบปัญหาการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน โควิด และงบประมาณก่อสร้างบานปลาย ทำให้การก่อสร้างล่าช้า มาเสร็จเอาในปี 2023
มูลค่าลงทุนก็บานปลายตามไปด้วยเป็น 7.3 พันล้านเหรียญฯ หากคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทปัจจุบันก็จะตกในราว 2.7 แสนล้านบาท
รัฐบาลอินโดเนเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ปัดข้อเสนอการก่อสร้างจากรัฐบาลญี่ปุ่น และหันมารับข้อเสนอจากรัฐบาลจีน ด้วยเงื่อนไขที่รัฐบาลจีนจัดหาเงินกู้ผ่อนปรนให้ร้อยละ 75 ส่วนที่เหลือร้อยละ 25 อินโดเนเซียจัดหาเอง
รัฐบาลอินโดเนเซียไม่หยุดแค่นี้ มีแผนการขยายเส้นทางจากบันดุงไปเซมารัง ยอร์คยาการ์ตา และสิ้นสุดเส้นทางที่สุราบายาบนเกาะชวาตะวันออก ระยะทางรวม 750 กิโลเมตร อันจะเป็นการก้าวเข้าสู่โฉมใหม่ของโครงสร้างพื้นฐานประเทศด้านการคมนาคมขนส่ง
“ดูอินโดฯ แล้วเหลียวมองไทย” ก็น่าเสียดายและน่าเศร้าใจยิ่งนัก ที่รัฐบาลไทยในอดีตสมัยน.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยประกาศพ.ร.ก.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเพื่อการสร้างอนาคตประเทศมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งจะมีการสร้างไฮสปีดเทรน 4 ภาคด้วย แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังยักแย่ยักยันการก่อสร้างกันแค่สถานีกลางป่า “ปางอโศก”
ส่วนเรื่องแผนการใช้เงิน 5.6 แสนล้านบาทในโครงการ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” เพื่อการกระชากเศรษฐกิจครั้งใหญ่ให้เติบโตได้ถึง 5% ก็เป็นเรื่องดี หากทำได้โดยไม่เกิดผลข้างเคียงที่ “เสียมากกว่าได้” แต่ขณะนี้เสียงคัดค้านดังระงมมากเหลือเกิน
ไม่เพียงแต่นักวิชาการหรือกลุ่มชนอนุรักษนิยมเท่านั้น หากยังมีการส่งคำเตือนที่เป็นทางการจากธนาคารแห่งประเทศไทย และบริษัทจัดอันดับเครดิตชั้นนำเช่นฟิทช์ เรทติ้งส์ และมูดี้ส์ว่าอาจจะกระทบต่อฐานะทางการเงินการคลัง และก่อปัจจัยเสี่ยงในตลาดการเงินทั้งตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น
เสมือนว่า โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นผู้ร้ายทุบตลาดหุ้นไทยเวลานี้
ถ้าถอยได้ ควรเอาเงิน 5.6 แสนล้านไปทุ่มทำรถไฟความเร็วสูง ที่ก่อคุณูปการเศรษฐกิจเป็นรูปธรรมและเป็นสมบัติชาติยั่งยืน อีกทั้งจะช่วย “เซฟ” รัฐบาลไปในตัว จะดีกว่าไหม