ขายหุ้น PE สูง

ในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา “โมนิก้า” ได้มีโอกาสเดินสายทำบุญ และได้พบปะกับผู้คนในแวดวงตลาดหุ้นมากมาย จึงได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนอย่างสนุกสนาน


ในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา “โมนิก้า” ได้มีโอกาสเดินสายทำบุญ และได้พบปะกับผู้คนในแวดวงตลาดหุ้นมากมาย จึงได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนอย่างสนุกสนาน จนในที่สุดก็มีความคิดเห็นตรงกันว่า หุ้นบางตัวที่ตกลงมาหนัก ๆ ชนิดโงหัวไม่ขึ้นนั้น น่าจะเกิดจากการเทรดหุ้นบน PE ที่สูงเกินไป จึงเป็นหุ้นกลุ่มแรก ๆ ที่โดนจัดหนักในทุกกระบวนท่า และมีแนวโน้มที่จะโดนถล่มอีกนานเจ้าค่ะ

เมื่อประเด็นดังกล่าวกลายเป็นเรื่องที่นักเล่นส่วนใหญ่คิดเหมือนกัน “โมนิก้า” จึงต้องนำข้อมูลดังกล่าวมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้แฟนคลับประเมินเรื่องราวข้างต้นน่าเชื่อถือขนาดไหน? และในขณะเดียวกันก็อย่าลืมว่า การยืนปิดของดัชนีที่ระดับ 1,434.45 จุด บวกไป 2.73 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.08 หมื่นล้านบาท มันเป็นอิทธิฤทธิ์ของหุ้นตัวแสบที่ชื่อว่า DELTA ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้ตลาดหุ้น “บิด ๆ เบี้ยว ๆ” ผิดจากความเป็นจริงค่อนข้างมากจ้า!

งานนี้จริงเท็จแค่ไหน “โมนิก้า” อยากให้นักเล่นลองสำรวจด้วยตัวเองว่า หุ้นส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นปิดลบกันเป็นแถบ แต่พี่เดลดันบวกสวนหน้าตาเฉย มันเป็นภาพสะท้อนที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยดูดีขึ้นจริงไหม? และบรรดานักเล่นที่เก๋าเกมก็คงมีคำตอบในใจสำหรับเรื่องนี้กันแล้ว เดี๊ยนจึงไม่จำเป็นต้องเจาะลึกลงไปในรายละเอียดอื่น ๆ และขอเอาเวลาไปเม้าท์ถึงเรื่องที่จั่วหัวไว้ดีกว่า..อิอิอิ

โดยเฉพาะในรายของเสือนอนกินอย่าง AOT ซึ่งทุกคนยอมให้เทรดบน PE ที่สูงถึงระดับ 243 เท่า ล้วนมาจากความเชื่อที่ว่า กำไรปีนี้และปีหน้าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันอย่าลืมว่า ทุกครั้งที่มีปัญหากระทบกับการท่องเที่ยว และเกิดปัญหาเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย หุ้นตัวนี้โดนก่อนเป็นประจำ และการที่หุ้นยืนปิดที่ระดับ 68.50บาท ลบไป 0.25 บาท หรือลงไป 0.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 610 ล้านบาท คงไม่ใช่โลว์ของเที่ยวนี้กระมัง!

อีกรายที่ดูอาการคร่าว ๆ แล้วคงไม่ฟื้นง่าย ๆ “โมนิก้า” ขอชี้เป้าไปยังหุ้น BTS ภายใต้การดูแลของ “เฮีย.ค” เพราะการยืนปิดที่ระดับ 7.15 บาท ลบไป 0.15 บาท หรือลงไป 2% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 159 ล้านบาท มันเป็นการเทรดบน PE 182 เท่า ซึ่งเป็นระดับการเล่นที่สูงเกินไปในภาวะตลาดหุ้นไซด์เวย์ดาวน์ ผนวกกับพวกฝรั่งหัวทองก็ไม่อินตลาดหุ้นไทยเหมือนเมื่อก่อน ส่งผลให้สเตปการขึ้นของหุ้นดูติดขัดไปหมดเจ้าค่ะ

ส่วนรายที่น่าเป็นห่วงมากกว่าใครเพื่อน ต้องมองไปที่อดีตดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง STGT เพราะการร่วงลงเที่ยวนี้เป็นผลมาจากกำไรลดต่อเนื่อง ผสานกับสินค้าที่ผลิตออกมาก็ไม่บูมเหมือนเมื่อก่อน “โมนิก้า” เลยกังวลใจที่เห็นหุ้นยืนปิดเสมอตัวที่ระดับ 6.05 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 12 ล้านบาทในภาวะตลาดหุ้นเช่นนี้ แถมหุ้นยังเทรดบน PE 132 เท่าแบบนี้ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเทขายต่อน่ะซี

เม้าท์ถึงเรื่องผลงานขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอเอ่ยถึงหุ้น DOHOME เพื่อชี้ให้เห็นภาพใหญ่ของหุ้นตอนนี้เป็นลักษณะประคองตัวให้รอดไปวัน ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากผลงานในช่วงครึ่งปีแรกไม่เป็นเหมือนที่คิด จึงโดนขายแบบไม่มีเยื่อใย (ทำคนผิดหวังเยอะ) เดี๊ยนเลยสงสัยว่า การยืนปิดที่ระดับ 11.30 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 62 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 118 เท่า มันน่าเล่นจริงเหรอตัวเอง!

คล้ายกับสถานการณ์ของ THG ก็เป็นหุ้นที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เพราะตั้งแต่หมดสตอรี่เรื่องวัคซีนโควิด ราคาหุ้นก็หงอยเหงาลงทันที พร้อมกับแกว่งตัวออกด้านข้างเป็นแรมเดือน “โมนิก้า” ถึงมองว่า การยืนปิดที่ระดับ 65.50 บาท บวกไป 0.25 บาท หรือขึ้นไป 0.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 13 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 79 เท่า อาจเป็นระดับที่สูงเกินไปก็จริง แต่มีโอกาสวิ่งขึ้นไปใหม่ หากผลงานไตรมาส 3-4 ออกมาดีกว่าคาด..เพียงแต่จังหวะนี้ต้องขอบายไปก่อนค่ะ

ตบท้ายกันที่หุ้นการเมืองเพื่อชี้ให้เห็นสภาพที่ร่องแร่ง และมูลค่าการซื้อขายต่อวันเบายิ่งกว่าปุยนุ่นนั้น มันเกิดจากกำไรในบางปีออกมาดี แต่ในบางปีก็ขาดทุนแดงแป๊ด “โมนิก้า” เลยเข้าใจสภาพของหุ้น STPI ที่นับวันจะโรยราลงเรื่อย ๆ เพราะมันไม่มีมุมที่มาบิ้วอารมณ์นักลงทุนเลยสักอย่าง และการยืนปิดที่ระดับ 3.26 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 3% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 55 เท่า ก็เป็นภาพสะท้อนเรื่องที่เม้าท์ได้ดีสุดเจ้าค่ะ

Back to top button