‘จีน’ บนความหวังล้านล้านหยวน
รัฐบาลจีน มีการประกาศเปลี่ยนแปลงงบประมาณระดับชาติครั้งใหญ่สุดรอบหลายปี โดย NPC อนุมัติการออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน
ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลจีน มีการประกาศเปลี่ยนแปลงงบประมาณระดับชาติครั้งใหญ่สุดรอบหลายปี โดยคณะกรรมการถาวรของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) อนุมัติการออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (1.37 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) พร้อมผ่านร่างกฎหมาย ที่อนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่น ได้รับโควตาการออกพันธบัตรช่วงปีงบประมาณ 2567 โดยการดำเนินการดังกล่าว มีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น
สำหรับพันธบัตรระยะกลาง (CGB) วงเงิน 1 ล้านล้านหยวน หรือคิดเป็น 0.8% ของ GDP จีน ช่วงปี 2565 ทำให้รัฐบาลสามารถขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นเป็น 3.8% ของ GDP จากเดิม 3.0% ทั้งเพื่อนำไปสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ
โดยวงเงิน 1 ล้านล้านหยวน จะถูกโอนไปยังรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อฟื้นฟูประเทศ ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมที่ผ่านมา และวงเงิน 50% จะใช้ภายในไตรมาส 4/66 และอีก 50% จะถูกใช้ช่วงครึ่งปีแรกปี 2567 โดยตัวเลข GDP ไตรมาส 3/66 ของจีนขยายตัว 4.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี แข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าอาจขยายตัว 4.6% ทำให้ตลาดคาดหวังว่าจีนจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับ 5% ปีนี้ได้
“จู จงหมิง” รัฐมนตรีช่วยว่าการคลังของจีน ระบุว่า การออกพันธบัตรจะช่วยเพิ่มความต้องการในประเทศ และเพิ่มความแข็งแกร่งของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องความเป็นห่วงของระดับหนี้ของรัฐบาล ยืนยันว่ายังอยู่ในระดับที่สมเหตุผล
ตามข้อมูลของกระทรวงการคลังจีน ระบุว่า 3 ไตรมาสแรกปี 2566 มีการออกพันธบัตรรัฐบาลมาแล้วกว่า 7.5 ล้านล้านหยวน ถือว่าเป็นเงินค่อนข้างมากเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปี 2564 ที่มีการออกพันธบัตรพิเศษ 1 ล้านล้านหยวน เพื่อรับมือวิกฤตที่เกิดจากโควิด-19 ขณะที่ปี 2565 มีการออกพันธบัตรเพียง 7.5 แสนล้านหยวน
ทั้งนี้ตัวเลขเศรษฐกิจจีนไตรมาส 3/66 เติบโต 4.9% สูงกว่าคาด ด้วยแรงผลักดันจากหลายด้าน รวมทั้งภาคการบริโภคและอุตสาหกรรม ทำให้เพิ่มความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจีนจะสามารถบรรลุเป้าหมายจีดีพีประมาณ 5% ช่วงปี 2566 แต่อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์หลายคน เห็นว่า “วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจและทำให้แนวโน้มการเติบโตไม่สดใส”
ที่ปรึกษานโยบายคณะรัฐมนตรีจีน ระบุว่า แม้ปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโตได้ 5% แต่มีความกังวลลึก ๆ เกี่ยวกับภาคเอกชนที่น่าเป็นห่วงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งขาดการปฏิรูประยะยาวที่จะช่วยเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ สู่การใช้บริโภคนำแทนการส่งออก
ดังนั้นจุดมุ่งเน้นตอนนี้เป็นการรักษาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ที่ยังเปราะบาง เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะทางเศรษฐกิจ
“เราจำเป็นต้องเตรียมตัวอย่างดีสำหรับปีหน้า และลงมือปฏิบัตินโยบายเพื่อให้การเติบโตมีเสถียรภาพ ตอนนี้รากฐานการฟื้นตัวไม่ค่อยแข็งแกร่ง”
“แลร์รี หู” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจากแมคควอรี ระบุว่า เรื่องดังกล่าวสร้างปัจจัยเชิงบวกให้ตลาดเล็กน้อย เนื่องจากไม่มีการคาดการณ์ไว้แต่แรก แต่จำนวนเงินอัดฉีดดังกล่าว ยังไม่ใช่ตัวเปลี่ยนเกมสำหรับจีน
ขณะที่ “ถิง ลู่” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจากโนมูระ ระบุว่า เชื่อว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อการอัดฉีด 1 ล้านล้านหยวนไม่ควรจะพูดให้เกินความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะเวลาอันใกล้นี้
ทั้งนี้ไม่คาดหวังว่ารัฐบาลจีน จะใช้เงินจำนวนมากจนกว่าจะถึงปีหน้า หรือแม้แต่อีก 2 หรือ 3 ปีข้างหน้า นั่นเป็นเพราะภัยพิบัติทางธรรมชาติส่วนใหญ่ปีนี้กระทบพื้นที่ตอนเหนือของจีนช่วงฤดูร้อน และตอนนี้ประเทศกำลังมุ่งหน้าสู่ช่วงฤดูหนาว
ขณะที่ S&P Global Ratings ระบุว่า หากยอดขายอสังหาริมทรัพย์ของจีน ลดลงอย่างมากช่วงปีหน้า การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริงจะลดลงเหลือ 2.9% ช่วงปี 2567 จากปัจจุบันบริษัทคาดว่ายอดขายอสังหาริมทรัพย์จะลดลงเล็กน้อยอีก 5% ช่วงปีหน้า หลังจากคาดว่าจะลดลง 10-15% ช่วงปีนี้
จึงน่าจับตาว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนครั้งนี้..จะบรรลุตามเป้าประสงค์ได้มากน้อยเพียงใด เพราะนั่นหมายถึงมาตรวัดการฟื้นตัวของ “ธุรกิจปิโตรเคมีไทย” ด้วยเช่นกัน