SCGP อัพแวลูแพ็กเกจจิ้ง
ต้องบอกว่า เดิมธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง ซึ่งอยู่ภายใต้ SCGP ถือว่าเป็นพระเอกตัวหนึ่งของกลุ่ม SCC เลยก็ว่าได้ เคยสร้างรายได้และกำไรเป็นกอบเป็นกำ
ต้องบอกว่า เดิมธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง หรือบรรจุภัณฑ์ ซึ่งอยู่ภายใต้บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ถือว่าเป็นพระเอกตัวหนึ่งของกลุ่มบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เลยก็ว่าได้ เคยสร้างรายได้และกำไรเป็นกอบเป็นกำ…แต่ช่วง 1-2 ปีมานี้ แม้โควิดจะจางหายไปแล้ว แต่ก็ยังไม่กลับมา โดยเฉพาะตัวเลขกำไรที่อันตรธานหายไป…
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะที่ผ่านมา SCGP พึ่งพาตลาดจีนค่อนข้างสูง…พอเศรษฐกิจจีนไม่ขยับ ก็พลอยทำให้รายได้และกำไรของ SCGP ชะลอไปด้วย เห็นได้ชัดจากงบไตรมาส 3/2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,325 ล้านบาท ลดลง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,837 ล้านบาท
โดยมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 31,571 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 37,943 ล้านบาท แบ่งเป็น สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร 23,573 ล้านบาท ลดลง 19% สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ 6,184 ล้านบาท ไม่เปลี่ยนแปลง และสายธุรกิจรีไซเคิล 1,815 ล้านบาท ลดลง 29% เป็นผลมาจากราคาขายของกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศจีนและยุโรปที่เป็นไปอย่างล่าช้า ในขณะที่ภาคการส่งออกจากภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยยังคงได้รับแรงกดดันต่อเนื่อง
ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 4,030 ล้านบาท ลดลง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,351 ล้านบาท และมีรายได้จากการขาย 97,517 ล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 112,559 ล้านบาท
ก็เป็นที่ประจักษ์ที่นักลงทุนทำใจรอไว้แล้ว..!!
ด้วยเหตุนี้ SCGP จึงพยายามลดความเสี่ยง…เพิ่มโอกาสการเติบโต ด้วยการทุ่มงบก้อนโต (ปีนี้ใช้งบราว 9,000 ล้านบาท) เพื่อรองรับการควบรวมกิจการ (Merger and Partnership : M&P) ทั่วโลก ล่าสุดเพิ่งเทกโอเวอร์ 2 บริษัททำบรรจุภัณฑ์ไฮแวลูในยุโรป
เริ่มที่ดีลแรก ส่งบริษัทลูกที่ชื่อ SCGP Solutions (Singapore) Pte. Ltd. (SCGPSS) ซื้อหุ้น 100% ใน Law Print & Packaging Management Limited (Law Print) ผู้ให้บริการบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ การจัดพิมพ์ การตรวจสอบรับประกันคุณภาพ ตลอดจนการขนส่งระหว่างประเทศ โดยมีเครือข่ายผู้ผลิตและผู้จัดหาบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย มีที่ตั้งอยู่ในเมืองสต็อกพอร์ต สหราชอาณาจักร ใช้เงินลงทุน 10.68 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือประมาณ 475 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ก็ส่งลูกอีกบริษัทชื่อ Deltalab, S.L. (Deltalab) ซื้อหุ้น 85% ใน Bicappa Lab S.r.L. (Bicappa) ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ รวมถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญการผลิตอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ “ปิเปตต์ทิป” (Pipette tips) รายใหญ่ในทวีปยุโรป ตั้งอยู่ในเมือง Roletto ประเทศอิตาลี ใช้เงินลงทุนรวม 3.23 ล้านยูโร หรือประมาณ 125 ล้านบาท
สิ่งที่ตามมา จะทำให้ SCGP 1) มีโอกาสเบ่งมาร์จิ้นให้ดีขึ้น เพราะเป็นบรรจุภัณฑ์ไฮแวลู 2) ด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์เป็นเมกะเทรนด์ ก็จะทำให้มีโอกาสเติบโตมากขึ้น 3) ลดการพึ่งพาตลาดจีน เนื่องจากพอหันมาทำตรงนี้ ก็น่าจะทำให้รายได้และกำไรไม่ผันแปรมากนัก นั่นหมายความว่า จะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น และ 4) ด้วยในกลุ่ม SCC มีพี่น้องท้องเดียวกันที่ทำปิโตรเคมีอยู่แล้ว นั่นคือบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ที่จะช่วยซัพพอร์ตวัตถุดิบ ก็จะทำให้ต้นทุนถูกลง
โดย SCGP จะเริ่มรับรู้รายได้จากทั้ง 2 ดีล ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2566 เป็นต้นไป และปีหน้าจะมีการรับรู้รายได้เต็มปี
ก็ถือเป็นสตอรี่เชิงบวกที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับ SCGP..!!
แต่คงยังไม่เร้าใจเพียงพอที่จะทำให้หุ้นวิ่งปรู๊ดปร๊าดได้นะเนี่ย..!? ต้องทำใจหน่อยละกัน…
…อิ อิ อิ…