DIF กับ JASIF (อีกครั้ง)

วันนี้กลับมาเขียนหุ้น DIF กับ JASIF อีกครั้ง หลังจากเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนเขียนเกี่ยวกับราคาหน่วยลงทุนของทั้งสองไปว่า “ราคา” ค่อนข้างมีเสถียรภาพ


วันนี้กลับมาเขียนหุ้นกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน DIF กับ JASIF อีกครั้ง

หลัวจากเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้เขียนเกี่ยวกับราคาหน่วยลงทุนของทั้งสองหน่วยลงทุนไปว่า “ราคา” ค่อนข้างมีเสถียรภาพ และไม่ได้เคลื่อนไหว หรือแกว่งตัวลงตามภาพรวมของตลาดมากนัก

ทว่า ในช่วงกว่าสัปดาห์ ราคาของสองหน่วยลงทุนกลับร่วงลง

โดยเฉพาะกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (DIF)  ที่ราคาลงอย่างหนัก

หรือจากระดับ ที่ maintain อยู่ปรมาณ 9.00–9.202 บาท มาราว ๆ 2 เดือน

ก่อนจะไปดูสาเหตุที่ DIF ราคาลงมาต่อเนื่อง

ไปดูความเคลื่อนไหวราคาของหน่วยลงทุนนี้ในรอบเกือบ 1 ปีกัน

ราคาหน่วยลงทุน DIF พบว่า ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาลดลง 20.30%

ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราคาลดลงประมาณ 11.54%

และในรอบ 1 สัปดาห์ลดลงประมาณ -5.85%

แต่หากนับจากตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงสิ้นเดือน ต.ค. 2566 ราคาปรับลดลง 39.02%

การปรับลงของหน่วยลงทุน DIF อาจถูกแบ่งออกมาเป็น 2 รอบ

รอบแรกที่ราคาลงมาจากบริเวณ 13.00 บาท และมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 9.00-9.50 บาทนั้น

การลดลงในรอบนี้น่าจะมาจากสองปัจจัย

ปัจจัยแรกคือ ความกังวลเรื่องการควบรวมกันระหว่าง TRUE กับ DTAC โดยเฉพาะในประเด็นที่สัญญาเช่าเสาของดีแทคจะหมดลง แล้วทำให้อาจเกิด “ความเสี่ยงเกี่ยวกับสัญญาเช่า”

ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ค่าเช่าของ DIF ปรับลง จนอาจนำไปสู่ “เงินปันผล” ลดลง

ปัจจัยต่อมาคือ เรื่อง “ภาษี“

โดยผู้ถือหน่วยลงทุนของ DIF ที่จะรับเงินปันผลงวดปี 2566 จะต้องมีเสียภาษี 10%

สุดท้ายคือความกังวลที่กลุ่มทรูอาจจะขายหน่วยลงทุนออกมาได้อีก เพราะยังมี “รูม” หรือสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่จะขายออกมาได้อีก

ทว่า ปัจจัยที่ว่ากันว่ามีส่วนต่อการกดดันราคามากสุดคือ สัญญาเช่าของของดีแทค

นักวิเคราะห์มองตรงกันว่า ที่บริเวณราคา 9.00 บาท ถือว่าสะท้อนกับปัจจัยเรื่องนี้แล้ว

และราคาหน่วยลงทุนยังมีอัพไซด์อีก ทำให้ดาวน์ไซด์เริ่มถูกจำกัด

แต่ตลาดหุ้นก็คือตลาดหุ้นนั่นแหละ

ไม่มีอะไรแน่นอน

เพราะเพียงไม่กี่วันหลังจากเขียนเรื่อง DIF–JASIF

ราคาของ DIF ปรับลงต่อเนื่อง หรือจาก 9.10 เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2566 ลงมาเหลือ 8.05 บาท เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา

การลดลงของหน่วยลงทุนในรอบล่าสุด

มีการระบุมาจากผู้จัดการกองทุนของ DIF ว่า มาจาก 2 ปัจจัย

เริ่มจากความกังวลเกี่ยวกับเรื่องภาษีที่จะต้องจ่าย 10% นั้นยังคงมีอยู่

รวมถึงภาพรวมของตลาดที่ดัชนี SET หลุดแนวรับสำคัญลงมาต่อเนื่อง น่าจะทำให้นักลงทุนมีการปรับพอร์ต หันมาถือเงินสด เพื่อลดความเสี่ยง

อีกประเด็นที่มีความกังวลคือ การปรับดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ

เพราะการขึ้นดอกเบี้ยทุก 0.25 บาท จะส่งผลต่อภาระหนี้ของ DIF จำนวน 70  ล้านบาท

ที่ผ่านมาแบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้ง ส่งผลต่อภาระหนี้เพิ่มขึ้นไปแล้ว 350 ล้านบาท

และนั่นคือเหตุที่ราคา DIF ลงมาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 8.00-8.151 บาท

ที่ระดับราคาดังกล่าว ว่ากันว่า หลังจากปัจจัยเสี่ยง ๆ ทุกอย่างออกหมดแล้วนั้น หน่วยลงทุน DIF ยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 10%

ส่วนหน่วยลงทุนของ JASIF ที่ราคาปรับลงมาระหว่าง 6.45-6.55 บาท ในตอนนี้

มาจากสองสามปัจจัย

คือ กสทช.ยังไม่เห็นชอบ ADVANC เข้าซื้อ 3BB

และภาพรวมของตลาดหุ้นที่ดัชนีหลุดแนวรับสำคัญเช่นกัน

นอกจากนี้ JASIF ในระยะถัดไปนั้น ผู้ถือหน่วยลงทุนที่ได้รับเงินปันผล จะต้องเสียภาษี 10%เช่นเดียวกันกับ DIF (ครบได้รับการยกเว้น 10 ปี ในสิ้นปี 2567)

มาถึงปุจฉา หรือ คำถามว่า แล้วราคาหน่วยลงทุนนี้จะลงอีกหรือเปล่า

วิสัชนา หากจะดูจากปัจจัยที่บอกว่านั้น ราคาของสองหน่วยลงทุนที่บริเวณราคาปัจจัยน่าจะสะท้อนแล้วล่ะ

แต่อย่างที่เคยบอก ในตลาดหุ้นไม่มีอะไรที่แน่นอน

Back to top button