SET ฟื้นตัวต่อได้ แต่ Upside ยังจำกัดจากมีความเสี่ยงติดตาม
InnovestX มองว่า ช่วงสั้น SET มีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลังมีความหวังเฟดอาจใกล้ยุติวงจรการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดที่สุดในรอบ 40 ปี
สำหรับประเด็นการทำนโยบายการเงินของ Fed นั้น InnovestX มองว่ามีประเด็นน่าสนใจ 5 ประเด็น คือ (1) มติคงดอกเบี้ยตามคาด แต่เริ่มส่งสัญญาณคงดอกเบี้ย โดยมองว่าประสิทธิภาพ Dot plot ในการทำนายเศรษฐกิจและดอกเบี้ยลดลง บ่งชี้ว่าโอกาสในการขึ้นอีกครั้งลดลง (2) ส่งสัญญาณว่า ผลตอบแทนพันธบัตรที่ขึ้น ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อลดลง (3) ยังคงเปิด Room ในการขึ้นดอกเบี้ยได้ โดยประธาน Fed ย้ำว่ายังมีหนทางอีกยาวไกลในการทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับลงมาตามเป้าหมาย และเงินเฟ้อในระยะต่อไปอาจจะ “กระโดด” (lumpy) ขึ้นได้
(4) นโยบายการเงินยังไม่ช่วยชะลอเศรษฐกิจได้แรงพอเพราะผู้กู้ยืมจำนวนมากตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า (fix rate) แต่เมื่อต้องรีไฟแนนซ์ต้นทุนการกู้ยืมจะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง (บ่งชี้ว่าสภาพคล่องจะตึงตัวมากขึ้นแม้ไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่อ) และ (5) ผลของ QT ต่อดอกเบี้ยพันธบัตรจำกัด และ FOMC ยังคงระดับการลดของการถือครองพันธบัตรต่อเนื่อง ทั้งนี้ InnovestX มองว่า ตลาด Bullish ขึ้นหลัง FOMC และประธาน Fed เริ่มส่งสัญญาณยุติการขึ้นดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม InnovestX มองว่า การที่ประธาน Fed ไม่เริ่มส่งสัญญาณลดทอน QT ท่ามกลางการขาดดุลการคลังที่มากขึ้นและการขึ้นดอกเบี้ยที่แรงในช่วงก่อน จะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรกลับขึ้นไปได้อีก และกดดันเศรษฐกิจมากขึ้นในระยะต่อไป โดยเราเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 4/66 เป็นต้นไป และ Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 2/67 นอกจากนั้น ในภาพใหญ่ InnovestX มองว่าทิศทางการตึงตัวนโยบายการเงินทั่วโลก (ยกเว้นญี่ปุ่น) น่าจะเข้าสู่ปลายทางหรือสิ้นสุดลงแล้ว หลังการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องทำให้เศรษฐกิจและเงินเฟ้อชะลอลง แต่ธนาคารกลางขนาดใหญ่จะยังคงดอกเบี้ยสูงไปอีกระยะหนึ่ง ท่ามกลางการลดทอนขนาดของงบดุลที่มากขึ้น (ขณะที่ในญี่ปุ่น จะเป็นการลดการอัดฉีดลงผ่านการปรับเงื่อนไขของนโยบาย Yield Curve Control) ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องทางการเงินโลกตึงตัวมากขึ้น ท่ามกลางการขาดดุลการคลังของรัฐบาลทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรจะยังอยู่ระดับสูงและเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะถัดไป
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น InnovestX มองว่า แม้ช่วงสั้น SET มีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลังมีความหวังเฟดอาจใกล้ยุติวงจรการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดที่สุดในรอบ 40 ปี แต่อย่างไรก็ดี คาด Upside จะยังถูกจำกัด เนื่องจากยังขาดปัจจัยบวกใหม่เพิ่มเติมที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศลงทุน อีกทั้งยังมีประเด็นเสี่ยงที่ต้องติดตามจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และปัจจัยในประเทศกำลังเข้าสู่ช่วงติดตามการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66 ของหุ้นกลุ่ม Real Sector กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. ที่คาดฟื้นตัวตามตลาด โดยเลือกหุ้น Undervalued ซึ่งราคาปรับลงมาจนเข้าเขต Oversold และยังมีพื้นฐานดี อีกทั้ง Valuation ไม่แพง (PER และ PBV ปี 66 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) เลือก BDMS, CPALL, CPN, MINT
2) หุ้นที่คาดผลประกอบการดีต่อเนื่องไปในไตรมาส 4/66 (เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า) เลือก AP, AOT, BCH, CENTEL รวมทั้ง KCE ที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว (เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน)
3) หุ้นเก็งกำไร ซึ่งคาดได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันปรับขึ้นหรือทรงตัวในระดับสูง หากความตึงเครียดในตะวันออกกลางไม่ทวีความรุนแรงมากขึ้น (Upside ราคาน้ำมัน 5-10 เหรียญสหรัฐฯ) แนะนำเทรดดิ้งราคาน้ำมัน Brent ในกรอบ 84-94 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เลือก BCP, PTTEP
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC, SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF, GFPT, BTG)