เผาหลอก-เผาจริงพลวัต 2015

ป่านนี้นักลงทุนก็คงรู้แล้วว่า สิ่งที่นักวิเคราะห์หุ้นไทย พยายามเรียกว่า “แซนต้า แรลลี่”อย่างผิดๆ (เพราะความหายเดิมนั้น เขาหมายถึงเดือนกันยายนทั้งเดือนก่อนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ไม่ใช่วันเดียว) จะดันหุ้นให้วิ่งทะลุขึ้นไปเหนือ 1,300 จุดเมื่อวานนี้ได้หรือไม่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะยามนี้ กลับมีคำถามใหญ่กว่าแทรกเข้ามาจากตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ว่า ปีหน้านี้ ตลาดหุ้นเอเชียจะ ”เผาจริง” หรือ “เผาหลอก”


ป่านนี้นักลงทุนก็คงรู้แล้วว่า สิ่งที่นักวิเคราะห์หุ้นไทย พยายามเรียกว่า “แซนต้า แรลลี่”อย่างผิดๆ (เพราะความหายเดิมนั้น เขาหมายถึงเดือนกันยายนทั้งเดือนก่อนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ไม่ใช่วันเดียว) จะดันหุ้นให้วิ่งทะลุขึ้นไปเหนือ 1,300 จุดเมื่อวานนี้ได้หรือไม่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะยามนี้ กลับมีคำถามใหญ่กว่าแทรกเข้ามาจากตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ว่า ปีหน้านี้ ตลาดหุ้นเอเชียจะ ”เผาจริง” หรือ “เผาหลอก”

เหา ฮง นักวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ที่มีชื่อเสียงของบริษัทหลักทรัพย์จีนในตลาดเซี่ยงไฮ้ ที่เคยทำนายทายทักการวิ่งขึ้นของตลาดเซี่ยงไฮ้ปลายปีที่แล้ว  และการพังทลายของตลาดเดียวกันในกลางปีนี้ ระบุว่า ปีหน้านี้ ตลาดหุ้นเอเชียจะถึงเวลา ”เผาจริง” ไม่ใช่ ”เผาหลอก” อย่างปีนี้แน่นอน

คำทำนายดังกล่าว จะถูกหรือแม่นยำขนาดไหน ไม่มีใครรู้ แต่ต้องรับฟังเหตุผลและข้อมูล

เขาระบุว่า สาเหตุสำคัญของปัญหาเศรษฐกิจในชาติกำลังพัฒนาหรือตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลกในปีหน้านี้ คือ การขาดแคลนปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐ จากการที่นโยบายขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และการยกเลิกมาตรการ QE ของสหรัฐ เพื่อนำสหรัฐกลับเข้าสู่ภาวะปกติของเศรษฐกิจ

การขาดแคลนดังกล่าว จะทำให้ตลาดเงินและตลาดหุ้นทั่วโลก มีลักษณะวุ่นวายใกล้เคียงกับช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 เลยทีเดียว เพราะดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด จะทำให้กองทุนเก็งกำไรและธนาคารกลางทั่วโลกหันมาแย่งกันถือดอลลาร์ในมือมากขึ้นจนกระทั่งปริมาณดอลลาร์ในท้องตลาดไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับปริมาณเงินสกุลอื่นๆ ที่อ่อนแอลง และเป็นที่ต้องการต่ำลงสวนทางกัน

สงครามแย่งชิงดอลลาร์ จะแตกต่างจากสงครามค่าเงินที่หลายคนเคยพูดถึง เพราะในสงครามแย่งชิงดอลลาร์นั้น ค่าเงินสกุลตลาดเกิดใหม่จะเริ่มทยอยพังทลาย และหลายประเทศที่มีหนี้ในรูปดอลลาร์จะวุ่นวายกันการปรับโครงสร้างหนี้มหาศาล หรืออย่างเลวสุดอาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจจากการก่อหนี้เกินกำลัง

ที่สำคัญ ตลาดเงินสกุลสำคัญของโลกที่รองจากดอลลาร์ จะอลหม่านไปหมด เพราะว่าปริมาณเงินที่เพิ่มมากขึ้นในท้องตลาด และมีความต้องการต่ำ จะผลักดันให้ยุทธการ “แคร์รี่ เทรด”(currency’s carry trade) เฟื่องฟูอย่างมาก เพื่อจะกู้เงินไปเก็งกำไรค่าดอลลาร์อย่างเป็นกระบวนการ ผลลัพธ์คือ ยิ่งทำให้เงินดอลลาร์หายไปจากท้องตลาดในอัตราเร่งมากขึ้น

สถานการณ์เช่นนี้ จะต่างจากช่วยเวลาที่ค่าดอลลาร์ต่ำ ในวิกฤตซับไพรม์ที่ผ่านมา ซึ่งซึ่งมาตรการ QE เดือนละประมาณ 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อกระตุ้นให้พ้นจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ ทำให้เงินที่ล้นเกิน กดดันให้ค่าดอลลาร์และดอกเบี้ยในท้องตลาดต่ำเกินเป็นเวลายาวนานหลายปี เปิดช่องให้ธุรกิจและชาติต่างๆ ในโลก โดยเฉพาะญี่ปุ่น และจีน อาศัยประโยชน์ทำแคร์รี่ เทรด หรือกู้ยืมเงินต้นทุนต่ำจากในรูปดอลลาร์ไปปล่อยกู้หรือลงทุนหากำไรทำกำไรในตลาดภายในของตนเองต่อเนื่องตลอดหลายปี

เกมแคร์รี่ เทรด ไม่ใช่ของใหม่สำหรับโลกทุนนิยม แต่กระแสโลกาภิวัตน์เปิดช่องให้ตลาดเคลื่อนไหวสะดวกมากขึ้น แม้กระทั่งตลาดที่ปิดบางส่วนอย่างจีน ยังได้รับอานิสงส์มหาศาล

เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่ของโลก มีปัญหาย่ำแย่ รัฐบาลจำต้องมีมาตรการทางการเงินหลายประการรวมทั้งกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำติดพื้น ทำให้ค่าเงินต่ำมากในตลาดเงินระหว่างระเทศ ปฏิบัติการแคร์รี่ เทรด จะเริ่มทำงาน ในกรณีสหรัฐก็เรียกว่า ดอลลาร์ แคร์รี่ เทรด ในกรณี ญี่ปุ่นก็เรียกว่า เยน แคร์รี่เทรด และในกรณียูโร ก็เรียกว่า ยูโร แคร์รี่ เทรด  เป็นต้น

กลยุทธ์ แคร์รี่ เทรด ถือเป็นการลงทุนประเภทหนึ่ง ที่เฮดจ์ฟันด์ และกองทุนข้ามประเทศ เห็นถึงโอกาสจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำของประเทศขนาดใหญ่ยาวนานหลายปี จึงกู้เงินมา และ นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกที่ให้ผลตอบแทนมหาศาล สูงกว่าดอกเบี้ยและความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่กู้มา ถือเป็นกำไรที่ปราศจากความเสี่ยงในระยะหนึ่ง จนกว่าประเทศต้นทางนั้น มีเศรษฐกิจดีขึ้น และอัตราดอกเบี้ยเริ่มขยับสูงขึ้น ซึ่งต้องเร่งถอนการลงทุน แล้วนำเงินกลับไปใช้คืนเจ้าหนี้ก่อนที่จะขาดทุน หรือการขาดความสามารถในการใช้หนี้คืน

รูปธรรมของการสิ้นสุดรอบ ดอลลาร์ แคร์รี่ เทรดในปีนี้และปีหน้า เห็นชัดจากการอ่อนค่าเงินหยวน และการไหลออกของทุนเก็งกำไรจากตลาดหุ้นจีนที่กำลังเริ่มต้น

หลายปีมานี้กองทุนที่ทำดอลลาร์ แคร์รี่ เทรด นำเงินเข้ามาลงทุนในจีนมหาศาลในช่วงที่ค่าเงินหยวนแข็งค่ากว่าดอลลาร์ถึง 13% หลังช่วงปี ค.ศ. 2013  ทั้งในที่ถูกกฎหมายและผิด (โดยเฉพาะขบวนการโพยก๊วนในตลาดมืด) สถานการณ์ดังกล่าว ได้เปลี่ยนแปลงอย่างแรงนับแต่เฟดตัดสินในขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งทำให้ล่าสุด ทำให้ผลตอบแทนตราสารหนี้พันธบัตรรัฐบาลจีนเกือบเท่ากับรัฐบาลสหรัฐ และค่าเงินหยวนที่ไหลออกรุนแรงเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้คืนขบวนการแคร์รี่ เทรดโดยเร็วที่สุด

ตัวอย่างการจับขบวนการโพยก๊วนของรัฐบาลจีน ก็ไม่ใช่อะไรเลย แต่มีเบื้องหลังคือป้องกันการไหลออกของทุนในขบวนการแคร์รี่เทรด  ที่ต้องไหลกลับเร็วเกินไป เอาเงินสดใช้ชำระหนี้ที่มีต้นทุนพุ่งขึ้นนั่นเอง

สถานการณ์เช่นนี้ จะรุนแรงยิ่งขึ้นในปี ค.ศ.2016 อันเป็นที่มาของข้อสรุป ”ปีเผาจริง” ของนักวิเคราะห์จีน

ขนาดใหญ่มากของเศรษฐกิจจีน ที่ถูกกระแสการไหลกลับของแคร์รี่ เทรด ย้อนศรกระทบรุนแรงตามที่นักวิเคราะห์กลยุทธ์ประเมินเอาไว้ หากนำมาเทียบกับสถานการณ์ในตลาดเกิดใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าอย่าง อาเซียน (รวมไทย) คงจะเป็นปรากฏการณ์ที่สาหัสไม่น้อยกว่ากันอย่างแน่นอน

เริ่มตั้งแต่ธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายที่คุ้นเคยกับการกู้เงินสกุลต่างประเทศ จะตระหนักก่อนใครว่า ต้นทุนการเงินที่แพงขึ้นเพราะดอกเบี้ยเฟด และค่าดอลลาร์ที่แข็งขึ้น ย่อมหมายถึงการผลักภาระด้วยการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้จากลูกค้าอีกต่อหนึ่ง

หากปี 2559 จะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไทย และธนาคาพาณิชย์ในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกหลายครั้ง ในยามที่ค่าดอลลาร์แข็งมาก และค่าเงินท้องถิ่นดิ่งเหว ก็ไม่ควรถือเป็นเรื่องแปลก เพราะว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของ ”ปีเผาจริง” ที่จะเกิดขึ้นนั่นเอง

ใครไม่อยากประมาท ก็เตรียมรับมือล่วงหน้ากันให้ดี ก็แล้วกัน

Back to top button