PTTEP ที่ปัจจุบันยังคงต่อสู้กับอนาคต
แผนการลงทุนใหม่นั้นจะให้ผลตอบแทนตามที่ผู้บริหารแสดงความมั่นใจหรือไม่นั้นนักวิเคราะห์ยังมีคำถามว่าจะทำตามนั้นได้หรือไม่
แม้ผลกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปีนี้จะสูงสุดในรอบ 5 ปีของบริษัทกระแสหลักอย่าง PTTEP แต่นักวิเคราะห์ยังมองว่าค่า P/E ซึ่งต่ำมากเป็นประวัติการณ์แล้วนี้ยังสูงเกินไป คำแนะนำของนักวิเคราะห์พากันมองว่าราคาที่เหนือ 160 บาท ในปัจจุบันน่าจะลงไปที่แนวรับใหม่ที่ 153 บาท จึงจะเป็นราคาที่เหมาะสมในการเข้าซื้อ
คำแนะนำเชิงลบเช่นนี้เนื่องจากมองว่าบริษัทยังมี 3 ปัญหาที่ต้องเผชิญที่อาจแก้ไขได้ยากพร้อมกัน คือ
1.ราคาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติของโลกมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง
2.ปัญหาดอกเบี้ยและค่าของเงินที่ผันผวนระดับโลกจะทำให้บริหารราคาได้ยากขึ้น
3.ปัญหาเรื่องพลังงานทดแทนที่จะมาแทนที่พลังงานปิโตรเลียมจะกดดันให้มูลค่าของสินทรัพย์ที่ยังไม่ถูกนำขึ้นมาใช้ด้อยค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ
มุมมองดังกล่าวส่งผลต่อราคาหุ้นระยะสั้นและระยะกลางของบริษัทที่เคยเป็น “วัวที่ให้น้ำนมเป็นทองคำ”
ประมาณการล่วงหน้าในปี 2567 ของบริษัทที่นักวิเคราะห์มองว่าน่าจะลดลงประมาณ 5-10% ทำให้มีข้อเสนอแนะให้ขายทิ้งไปก่อนและเข้าซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยมีมุมมองเชิงลบว่ารายได้จากการลงทุนใหม่ ๆ ของบริษัทนั้นยังไม่สามารถทดแทนรายได้ที่หดหายไปจากปัจจุบัน นั่นคือบริษัทกำลังเผชิญหน้ากับการต่อสู้ระหว่างปัจจุบันที่มีกำไรลดลงกับอนาคตที่บริษัทกำลังมุ่งลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ซึ่งฝ่ายบริหารบริษัทกำลังจะเสนอแผนงานสำคัญภายในเดือน ธันวาคมนี้
นายสัมฤทธิ์ สำเนียง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมประกาศแผนการลงทุน 5 ปี (67-71) ฉบับใหม่ ในเดือน ธ.ค.นี้ โดยจากแผนการลงทุน 5 ปี (66-70) เดิม บริษัทฯ ได้จัดสรรงบประมาณรวม 29,100 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1 ล้านล้านบาท อีกทั้งยังคาดการณ์ตัวเลขประมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวันจากโครงการปัจจุบัน ระหว่างปี 66-70 ไว้ที่ 470,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 6 ไว้ที่ 510,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 67 ที่ 535,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 68 ที่ 531,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 69 และ 550,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 70
นอกจากนั้นสำหรับการขยายไปในธุรกิจใหม่ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาลงทุนในธุรกิจใหม่ ใน 3 ด้าน ได้แก่
1.Carbon Solutions โดยมีเป้าหมายที่จะให้บริการ การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กับนิคมอุตสาหกรรมหรือบริษัทในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม รอบอ่าวไทย ซึ่งมองว่าพื้นที่ในอ่าวไทยช่วงบนมีโครงสร้างใต้ทะลที่มีศักยภาพในการเป็นแหล่งกักเก็บดังกล่าวได้ โดยคาดว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มแรกจะเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ปตท. (PTT)
2.Low-carbon Energy จะมีทั้งพลังงานหมุนเวียน และ Power-to-X เช่น โครงการ Hydrogen ที่ PTTEP ได้ร่วมลงทุนไปก่อนหน้านี้
3.Advanced Technology หรือ AI and Robotics โดยบริษัทฯ ได้มีการตั้งบริษัทย่อยมาประมาณ 4 ปีแล้ว ณ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการ Scale Up การหาฐานลูกค้าเพิ่มเติม ซึ่งจะยังไม่ได้สร้างกำไร แต่คาดว่าในธุรกิจใหม่ที่มองไว้ทั้ง 3 ส่วนนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะให้ธุรกิจดังกล่าวมีส่วนช่วยสร้างกำไรสุทธิให้กับ PTTEP อย่างน้อย 20% ภายในปี 73
พร้อมกันนี้จากปริมาณสำรองก๊าซในประเทศมีแนวโน้มจะลดลง บริษัทฯ ก็มองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในโครงการก๊าซฯ ที่มีต้นทุนต่ำ เพื่อรักษาอัตราการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง
แผนการลงทุนใหม่นั้นจะให้ผลตอบแทนตามที่ผู้บริหารแสดงความมั่นใจหรือไม่นั้นนักวิเคราะห์ยังมีคำถามว่าจะทำตามนั้นได้หรือไม่ ซึ่งความไม่มั่นใจดังกล่าวกระทบต่อราคาหุ้นของ PTTEP อย่างเลี่ยงไม่พ้นและมีนัยสำคัญต่อขาขึ้นของหุ้นบริษัท